นิทรรศการ ‘ศิลปะดิจิทัลสื่อผสม’ ‘กุสตาฟ คลิมต์’ ครั้งแรกในไทย
‘กุสตาฟ คลิมต์’ (Gustav Klimt) ผู้วาด ‘The Kiss’ ภาพเขียนสีน้ำมันปิดทองอันลือลั่น เดินทางมาถึงเมืองไทยแล้ว ในนิทรรศการ ‘ศิลปะดิจิทัลสื่อผสม’ ที่ชั้น 6 EM Tower, Emsphere วันนี้ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2567
หลายคนอาจคุ้นกับภาพ The Kiss หรือ จูบ ภาพเขียนสีน้ำมันปิดทองอันลือลั่น
ศิลปินชาวออสเตรียน กุสตาฟ คลิมต์ (Gustav Klimt) ผู้สร้างภาพวาดโลกตะลึงด้วยสีทองอร่ามตา The Kiss และภาพเหมือน Adele Bloch-Bauer I (อเดล บลอค-เบาเวอร์) เศรษฐีชาวยิวในเสื้อผ้าที่หรูหราและเครื่องประดับทองแวววาว
ปีนี้ ภาพเขียนสีทองและผลงานของคลิมต์ เดินทางมาให้คนไทยสัมผัสด้วยตาในนิทรรศการ ศิลปะดิจิทัลสื่อผสม A Golden Kiss by Klimt in Bangkok
ศิลปินหัวก้าวหน้า กุสตาฟ คลิมต์
กุสตาฟ คลิมต์ (ค.ศ.1862-1918) เกิดในครอบครัวศิลปินฐานะยากจน ณ ชานกรุงเวียนนา ปี 1876 คลิมต์ ได้รับทุนเข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะ Vienna School of Arts and Crafts ขณะเรียนก็ได้รับว่าจ้างให้เขียนภาพคนเหมือน (portrait)
ศิลปะในยุคสมัยนั้นเป็นแนวคลาสสิกตามขนบดั้งเดิมที่สอนกันในโรงเรียน ผลงานยุคแรก ๆ ของคลิมต์คือวาดภาพเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ต่อมาในปี 1877 คลิมต์กับน้องชายและเพื่อนอีกคนร่วมก่อตั้งสตูดิโอ ตอนนั้นรับวาดภาพบนผนังในโบสถ์ วิหาร โรงละคร พิพิธภัณฑ์ ไม่นานผลงานของคลิมต์เริ่มฉายแวว งานศิลปะอันโดดเด่นของเขาได้รับเหรียญรางวัลจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิออสเตรีย ผลงานหลายชิ้นฉบับออริจินัลยังหาชมได้ในปัจจุบัน
คลิมต์มีชื่อเสียงด้านวาดภาพพอร์ตเทรตให้กับชนชั้นสูง อย่างไรก็ดี เขาเริ่มหันเหแนวทางสู่ศิลปะอาร์ตนูโว (Art Noveau) ต่อมาเกิดจุดหักเห เมื่อพ่อและน้องชายของเขาเสียชีวิต ส่งผลกระทบต่อจิตใจของศิลปินที่กำลังมีชื่อเสียง ทำให้คลิมต์เปลี่ยนสไตล์งานของตัวเองอีกครั้ง
เขาเริ่มแสวงหาแนวทางของตัวเอง จากการศึกษาวิวัฒนาการศิลปะในหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น อียิปต์โบราณ และศิลปะไมเซเนียน (Mycenaean art – ศิลปะยุคสำริด กรีกโบราณ) โดยนำอิทธิพลทางศิลปวัฒนธรรมจากประเทศต่าง ๆ มาสร้างงานในสไตล์ของเขาเอง มีผลงานสร้างชื่ออีกหลายชิ้น
ก่อตั้ง Vienna Secession
คลิมต์สร้างสรรค์ศิลปะที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ ในยุคสมัยที่ ภาพนู้ด เป็นเรื่องต้องห้าม เขาก่อตั้ง Vienna Secession หรือ Union of Austrian Painters เพื่อจัดแสดงนิทรรศการ (สมัยนั้นศิลปินต้องสังกัดสมาคมจึงมีโอกาสแสดงผลงาน) หลายผลงานเป็นที่ชื่นชอบแต่ก็ต้องยอมรับคำวิจารณ์จากยุคสมัยว่าเป็น “ภาพอนาจาร” โดยเฉพาะกับศิลปินรุ่นก่อน ๆ แต่กับศิลปินรุ่นใหม่ คลิมต์ได้รับการยอมรับ
ยุคทองของคลิมต์
สัญลักษณ์ภาพพอร์ตเทรตของคลิมต์ คือแผ่นทองคำเปลวบนภาพเขียน แรงบันดาลใจจากงานศิลปะโมเสกของอิตาลี และงานตกแต่งในยุคไบเซนไทน์
ปี 1900 – 1908 เรียกว่าเป็น ยุคทอง (Golden Phase) ของคลิมต์ ได้แก่ภาพ Pallas Athena, The Hydra, Water Serpents II, Judith and the Head of Holofernes, The Three Ages of Woman ฯลฯ
โด่งดังที่สุดคือ Portrait of Adele Block-Bauer I (1907) ภาพพอร์ตเทรตภรรยาของเศรษฐีชาวยิวในออสเตรีย ตกแต่งด้วยแผ่นทองคำอร่ามตา ได้ชื่อว่าเป็น “โมนาลิซาแห่งออสเตรีย”
ผลงานที่ทุกคนตรึงใจ รู้สึกถึงความเย้ายวนคือภาพ “จูบ” The Kiss (1907-1908) ยังมีภาพหญิงสาวเปลือยอกใน Judith and the Head of Holofernes (1901) และ Danae (1907), The Tree of Life (1905)
คลิมต์ผ่าน “ยุคทอง” เคลื่อนสู่งานศิลปะแนวใหม่ ใช้สีสันอย่างอื่นและวาดภาพนู้ด จนถึงภาพเชิงปรัชญานามธรรม ซึ่งอาจตีความถึงสัจธรรมแห่งชีวิต ทำให้คลิมต์ เป็นศิลปินที่สร้างผลงานหลากหลาย นอกจากภาพพอร์ตเทรต คลิมต์ยังสร้างงานอิมเพรสชั่นนิสต์ ภาพทิวทัศน์และดอกไม้
กุสตาฟ คลิมต์ ศิลปินผู้แหกขนบ แต่ตัวจริงค่อนข้างเก็บตัว ไม่ชอบออกงานสังคม ไม่ไปสภากาแฟ มักอยู่กับบ้านใส่รองเท้าแตะ สวมเสื้อคลุมตัวเดียวผมเผ้ายุ่งเหยิง
คลิมต์จากโลกนี้ไปด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดหนักในยุโรปช่วงนั้น แต่ผลงานของเขาจารึกไว้ในหัวใจของคนรักศิลปะ หลายผลงานถูกประมูลในราคาสูงลิ่ว หลายภาพยังตราตรึงในห้วงจำ…
ชมและสัมผัสตัวตนของ กุสตาฟ คลิมต์ ในงานนิทรรศการ ศิลปะดิจิทัลสื่อผสม A Golden Kiss by Klimt in Bangkok ที่ชั้น 6 EM Tower, Emsphere วันนี้ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2567
นิทรรศการแบ่งเป็น 10 ห้อง ห้องแรกชมผลงานรีโปรดักท์ Museum of Klimt ต่อด้วย Trip to Vienna & Chronicle ห้องต่อไป Beauty of Flower, Malcesine on Lake Carda & Kiss, Infinity Color, Life & Art of Klimt, The Tree of Life, Road of Art, Wave 9 และ Goods Shop
บุคคลทั่วไป บัตรราคา 950 บาท วันเสาร์-อาทิตย์ / จันทร์-ศุกร์ 850 บาท / นักเรียน-นักศึกษาและผู้สูงอายุ 550 บาท เสาร์-อาทิตย์ / จันทร์-ศุกร์ 490 บาท
ซื้อบัตรที่ www.thaiticketmajor.com/goldenkiss หรือที่จุดจำหน่ายหน้างาน
The Woman in Gold กลับคืนสู่เจ้าของ
ภาพยนตร์เรื่อง The Woman in Gold (2015) สร้างจากเรื่องจริง เมื่อภาพพอร์ตเทรตที่วาดโดย กุสตาฟ คลิมต์ ถูกนาซียึดครองในปี 1941 ต่อมาก็ตกเป็นสมบัติของรัฐบาลออสเตรีย
ปี 2000 Maria Altmann วัย 88 ปี หลานของสตรีชั้นสูงในภาพ Adele Block-Bauer I ซึ่งหนีภัยสงครามจากออสเตรียไปอยู่ในอเมริกา ได้ฟ้องร้องทวงคืนภาพนี้ต่อศาลสูงของอเมริกา
Maria ร่วมกับทนายความ Randol Schoenberg ต่อสู้ด้วยเอกสารทางกฎหมายนานถึง 7 ปี
เรื่องราวการต่อสู้ชิงภาพเขียนล้ำค่านำเสนอบนแผ่นฟิล์ม นำแสดงโดย Helen Mirren รับบท Maria ในวัย 84 ปี ทนายความรับบทโดย Ryan Reynolds ยังมีนักข่าวจากออสเตรีย รับบทโดย Hubertus Czernin
ใครได้ชมภาพยนตร์จะลุ้นว่าภาพเขียนจะคืนสู่เจ้าของหรือไม่ การต่อสู้ยาวนาน 7 ปี จนหลายครั้ง Maria เกือบถอดใจ หนัง flashback สู่สมัยสงครามโลกเมื่อนาซี บุกบ้านเศรษฐีชาวยิว ลุงกับป้าวัยหนุ่มผู้ชื่นชอบศิลปะว่าจ้างคลิมต์ให้วาดภาพให้ หนังย้อนเวลาสู่คลิมต์วัยหนุ่มที่ตัดสินใจวาดพอร์ตเทรตให้ Adele ยุคนั้นคลิมต์ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินที่บรรดาผู้มีอันจะกินชาวยุโรป ว่าจ้างให้วาดภาพเหมือนให้
การต่อสู้ขอคืนภาพของ Maria ไม่ง่ายเลย เมื่อรัฐบาลออสเตรียไม่ยอมคืน อ้างว่าเป็นสมบัติของชาติ และตรงตามประสงค์ของ Adele ป้าของ Maria ว่า เมื่อลุงตาย (ผู้จ่ายค่าจ้างให้ คลิมต์) ให้ยกภาพเขียนนี้ให้พิพิธภัณฑ์
ในที่สุด Maria ชนะ ภาพเขียนคืนสู่ทายาท เธอขายภาพให้แก่ Ronold Lauder ในราคา 135 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราคาปัจจุบัน = 204 ล้านดอลลาร์) ซึ่งมหาเศรษฐีผู้ซื้อภาพนี้ได้ยกภาพเขียนให้ พิพิธภัณฑ์ Neue Galeria ในนิวยอร์ก เมื่อปี 2006
เพื่อให้ทุกคนได้ชื่นชมความงามของ The Woman in Gold
หมายเหตุภาพจาก: Neue Galerie New York
#ticycity #กุสตาฟ คลิมต์ #GustavKlimt #TheKiss #ศิลปะดิจิทัลสื่อผสม #TheWomaninGold #Emsphere #AGoldenKissbyKlimtinBangkok
Leave feedback about this