ticycity.com Contents Culture God's City คนไทยกลัวบาปเคราะห์จาก “พระราหู” !
Culture God's City

คนไทยกลัวบาปเคราะห์จาก “พระราหู” !

ดาวใหญ่ย้าย 3 ดวง 

ช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ แวดวงโหราศาสตร์คึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีการเคลื่อนย้ายของดาวใหญ่ถึง 3 ดวง เลยทีเดียว ซึ่ง แน่นอนว่า ดาวราหู ซึ่งจัดเป็นดาวบาปพระเคราะห์ ธาตุลม คือหนึ่งในดาวใหญ่ของสามดาวนั้น  และนี้คือเหตุผลที่ Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายใน God’s City จากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City จะหยิบยกประเด็นที่คนไทยกลัวบาปเคราะห์จาก “พระราหู” มาเล่าขานให้   สายมูและไม่มูทั้งหลายได้ไปเม้าท์ต่อกัน

โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สำหรับความรู้สึกส่วนตัวของ  Nai Mu แล้ว ต้องขอบอกว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เกิดปรากฏการณ์การไหว้บูชาพระราหูอย่างเป็นล่ำเป็นสัน บรรดา เกจิอาจารย์ โหราจารย์ทั้งหลาย ทุกวัด ทุกสำนัก ล้วนประกอบการบูชานี้ เพื่อความเป็นสิริมงคล  เพราะในทางโหราศาสตร์แล้วเดือนนี้จะมีดาวย้ายถึง 3 ดวง คือ ราหู วันที่ 5 , ดาวพฤหัสบดี วันที่ 13 และ ดาวเสาร์ วันที่ 19  หลายวัดยังมีพิธีบูชาดาวนพเคราะห์และพระราหูอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่าง ในวันพุธที่ 28 พฤษภาคมนี้ ที่วัดขุนจันทร์ ตลาดพลู จะจัดพิธีนี้อีกครั้ง !

เทวดานพเคราะห์

สำหรับมนุษย์นั้นมี “ความกลัว” เป็นพื้นฐานในจิตใจ เกรงภัยอันเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่ว่าจะเป็นลมเพลมพัด ภูติผี ปีศาจ แม้กระทั้งเทพเทวดาให้โทษ รวมถึงพระราหูให้โทษ ในดวงชะตา  “พระราหู” เป็นตัวแทนของโลก และวิถีแบบโลกียะ ! มนุษย์ปุถุชนหลีกไม่พ้น  รัก โลภ โกรธ หลง มัวเมา ลุ่มหลง และขาดสติในการดำเนินชีวิต นี่คือคุณสมบัติของราหู จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถ้าเมื่อใดมีสติ ระลึกรู้ มีเหตุ มีผล ก็จะพ้นจากการครอบงำของ “เงาของพระราหู”! 

แต่ในทางวิทยาศาสตร์ ราหูคือจุดคำนวณเพื่อตรวจสอบการเกิดของสุริยุปราคา และจันทรุปราคา ! ในแต่ละปี – สุริยุปราคา เกิดจากดวงจันทร์โคจรระหว่างดวงอาทิตย์และโลก ทำให้เงาของดวงจันทร์ตกมากระทบกับโลก, จันทรุปราคา เกิดเมื่อโลกอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และดวงจันทร์เคลื่อนผ่านมายังเงาของโลก 

ชีวิตคนไทยส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ไม่มีหลักประกันสำหรับชีวิตทั้งงาน เงิน รวมถึงชีวิต  ดังนั้น มูเตลู ก็คือความสบายใจอย่างหนึ่ง  ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่อย่าไปเสียเงินมากมายกับสิ่งนี้ก็แล้วกัน  อย่างคนอินเดียจะไหว้พระราหูเมื่อเกิดคราสมาเยือน ซึ่งถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการสวดมนตร์ สรรเสริญ “พระราหู” 

พระราหู (ไทย)

คราวนี้มาฟังนิทานสนุกๆ เรื่องพระราหูกัน  

เมื่อครั้งที่พระศิวะต้องสร้างดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวง โดยใช้และนำวัตถุดิบที่แตกต่างกันมาป่นละเอียด ห่อด้วยผ้า ชุบชีวิตด้วยการร่ายมนตร์ เช่นพระอาทิตย์ (ราชสีห์ 6 ตัว),พระจันทร์ (นางฟ้า 15 นาง), พระอังคาร(กระบือ 8 ตัว), พระพุธ (ช้างเผือก 17 เชือก), พระพฤหัสบดี (ฤาษี 19 ตน), พระศุกร์ (โคอสุภราช 21 ตัว), พระเสาร์ (เสือโคร่ง 10 ตัว), พระราหู (หัวผีโขมด 12 หัว), พระเกตุ (นาค 9 ตัว) ซึ่งตัวเลขคือกำลังของแต่ละวันนั่นเอง

ดังนั้นเวลาที่ไปทำบุญพระประจำวันเกิด จึงใช้เหรียญตามจำนวนกำลังในการทำบุญถวายพระประจำวันเกิด นอกจากเติมน้ำมัน , หรืออย่างเวลาไหว้พระราหู ก็จะใช้ธูปดำ 12 ดอก ตามกำลังวันในสูตรนี้

พระราหู เป็นลูกของท้าวเวปจิตติ (พระอินทร์เดิมในศาสนาพราหมณ์ ที่ถูกกลุ่มมฆมาณพ หรือ พระอินทร์ในศาสนาพุทธจับโยนลงมาเป็นอสูรใต้พิภพ) กับนางสิงหิกา พระราหูเป็นอสูรประเภทหนึ่งที่เรียกว่า “แทตย์”  หน้ายักษ์ มี 4  กร  ท่อนล่างใ ต้สะดือลงไปมีหางอย่างนาค ผิวดำ สัตว์พาหนะว่ากันไปหลายอย่างแล้วแต่ตำรา เช่น มีครุฑเป็นพาหนะ บ้างว่าทรงสิงห์ บ้างว่า เทียมม้าดำ8 ตัว บ้างว่า ไม่มีพาหนะใดๆ แต่เที่ยวจรไปในอากาศ เรียก “อัมพรปีศาจ” เป็นเจ้าแห่งอุกาบาต ครองทิศตะวันตกเฉียงใต้  ในรามเกียรติ์ พระราหู อวตารเป็น นิลปานัน อยู่ในกลุ่มวานร 18 มงกุฎ (เทวดา 18 องค์ อวตารลงมาช่วยพระราม) 

เมื่อพระอิศวรชุบพระราหูจากหัวผีโขมดจนมีรูปร่างแล้ว พระราหูก็คิดว่า อยากมีฤทธิ์เดชขั้นสุดอย่างพระศิวะ จึงร่ายเวทย์ให้เกิดคราส ความมืดปกคลุม คิดว่า คงไม่มีใครเห็นพฤติกรรม แล้วเหาะไปท้ายปราสาทที่มีอ่างแก้วเพื่ออาบน้ำ ดื่มกิน พระศิวะล่วงรู้ด้วยญาณว่า พระราหูปีนเกลียว  จึงใช้จักรตัดร่างเป็น 2 ส่วน ส่วนบนคือ พระราหู ส่วนล่างคือ พระเกตุ 

โดยนิทานเรื่องจักรตัดร่างพระราหู ที่รู้จักกันดี คือ คราวกวนเกษียรสมุทร เพื่อเทวดาจะเพิ่มสรรพกำลังจากการดื่มน้ำอมฤตอันศักดิ์สิทธิ์ ในพิธีนั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า เห็นชัดว่า พระราหู อสูรแทตย์ตนหนึ่งแปลงร่างเป็นเทวดารูปงาม นั่งปะปนเพื่อดื่มน้ำอมฤต พอนางโมหินี (นารายณ์อวตาร) แบ่งน้ำอมฤตให้ พระราหูรีบชิงดื่ม ฝ่ายพระอาทิตย์และพระจันทร์โพล่งว่า “มันคืออสูร !” พระวิษณุที่นั่งเป็นประธาน (บ้างก็ว่า นางโมหินี) จึงขว้างจักรไปตัดร่าง ! แต่เนื่องจากราหูดื่มน้ำอมฤตไปแล้วจึงเป็นอมตะ ไม่ตาย เหตุนี้พระราหูจึงแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่ปากโป้ง จึงคอยหาโอกาสเหมาะๆ จับอมซะให้เข็ด ทำให้การพระอาทิตย์และพระจันทร์เสียศูนย์ในการเปล่งแสงเป็นเงามืดไป

หรืออีกเรื่องเล่าคือเมื่อคราวครุฑจับนาค  นาคหนีตายไปขอความช่วยเหลือ พระราหูไล่ล่า พญาครุฑหาทางรอดเหาะไปวิมานของพระอินทร์เพื่อขอความช่วยเหลือ  ฝ่ายราหูเหาะไล่ล่ามาไกลด้วยความหิวน้ำ เลยวักน้ำอมฤตมากินแก้กระหาย พระอินทร์เลยขว้างจักรตัดร่าง 

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกปี จะมีการสรงน้ำเทวดานพเคราะห์  เราจะได้พบเห็นปาง “พระราหูทรงครุฑ”  ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ นอกจากนี้ อาจารย์ ลักษณ์ เรขานิเทศ ยังได้จัดสร้างปางนี้ ประดิษฐานไว้ที่วัดใน 4 ภาคให้สาธุชนได้บูชากัน  ได้แก่ วัดพระธาตุหริภุญชัย (ลำพูน), วัดศาลาลอย (นครราชสีมา), วัดเจ้าอาม (กทม), วัดนางพระยา (นครศรีธรรมราช) เป็นต้น

นิทานอีกเรื่องหนึ่งว่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระราหู เคยเกิดเป็นพี่น้องในครอบครัวเศรษฐี เมื่อพ่อแม่ตายลง สมบัติมีค่า พระอาทิตย์ พี่คนโต และพระจันทร์ พี่คนรอง กวาดเอาไปหมด เวลาจะใส่บาตรพระ พี่คนโตจะใช้ขันทอง อธิษฐานขอไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ พี่คนรองจะใช้ขันเงิน อธิษฐานขอเกิดเป็นพระจันทร์ ฝ่ายพระราหูต้องใช้กระทาย (ไผ่สาน รูปร่างคล้ายแต่เล็กกว่ากระบุง) อธิษฐานด้วยความแค้น ขอให้มีรูปร่างใหญ่โต บดบังรัศมีของพี่ๆ ได้ 

พระปางปาลิไลยก์

พระประจำวันเกิด  วันพุธจะพิเศษกว่าวันอื่นๆ แบ่งระหว่างพุธกลางวัน (06.00-17.59 น.) และพุธกลางคืน  (18.00-05.59 น.) โดยใช้ “พระปางปาลิไลยก์”  เป็นพระประจำวันวันเกิด ปางนี้เกิดเมื่อพระพุทธองค์เบื่อหน่ายในการทะเลาะเบาะแว้งของหมู่สงฆ์ จึงปลีกตัวไปจำพรรษาในป่า มีช้างและลิง ช่วยปกปักรักษา 

พระนารทสัมพุทธเจ้า (พระราหู)

พระราหูแม้มีรูปร่างใหญ่โต แต่เมื่อเข้าเฝ้ากลับต้องแหงนให้คอตั้งบ่าเพื่อจะมองดูพระพุทธองค์ให้ถนัด และถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นครู ในคัมภีร์อนาคตวงศ์ระบุว่าพระโคตมพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตรว่า พระราหูจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “พระนารทสัมพุทธเจ้า” นับเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตพระองค์ที่ 5 (นับพระศรีอริยเมตไตรยเป็นพระองค์ที่ 1) 

นี่เป็นเรื่องของพระราหูที่มาเล่าให้ฟังพอสังเขป …. 
เรื่อง : Nai Mu

Exit mobile version