พระโพธิสัตว์
วันนี้ Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายใน God’s City จากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City จะพาสายมูและไม่มูทั้งหลายไปยัง “มูลนิธิโรงพยาบาลเทียนฟ้า” ซึ่งอยู่ใกล้กับ “ซุ้มประตูวัฒนธรรมไทย-จีน” (ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ) ซึ่งสมัยก่อน เรียก “วงเวียนโอเดียน” เหตุเพราะใกล้กับโรงหนังในชื่อเดียวกัน เพื่อไปกราบ “พระอวโลกิเตศวร” ไม้จันทน์หอม นั่นเอง
สำหรับโรงพยาบาลเทียนฟ้านั้นเป็นมูลนิธิแห่งแรกในสยามประเทศ ด้านหน้าเป็นศาลเจ้าจีน ซึ่งประดิษฐาน “พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์” ตั้งเด่นเป็นสง่างดงามบนถนนเยาวราช พระโพธิสัตว์พระองค์นี้แกะสลักจากไม้จันทน์หอม ลงรักปิดทองจนเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งองค์ พระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์อินเดียแต่โบราณ เป็นศิลปะในราชวงศ์ถังประดิษฐานในเก๋งจีน ทุกวัน เช้าจรดค่ำ (05.00-21.00 น.) สถานที่แห่งนี้ไม่เคยร้างผู้คน มีผู้คนเดินทางไปสักการะ ถวายดอกไม้ เช่น ดอกบัว, พวงมาลัย และอื่นๆ เช่น ผลไม้ หรือขนมที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ เช่น สิ่วท้อ เป็นประจำ

สมัยบุกเบิกเรียก “โรงพยาบาลเทียนฮั้วอุยอี้”
โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2446 โดยคหบดีชาวจีนโพ้นทะเล 6 ท่าน ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวจีนท้องถิ่นในประเทศไทย 5 กลุ่ม (แต้จิ๋ว แคะ กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ) ได้แก่ นายเหล่ากี่ปิง (พระยาภักดีภัทรากร), นายโง้วเหมียวง้วน (ล่ำซำ), นายกอฮุยเจี๊ยะ (หลวงภักดีภูวนาท), นายเหล่าชงเมี่ยง (พระเจริญราชธน), นายเตียเกี้ยงซำ (พระโสภณเพชรรัตน์) และนายเฮ้งเฮ่งจิว ร่วมกันอุทิศเงินพร้อมเชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมกันสมทบทุนเป็นเงินจำนวน 52,000 บาท จัดซื้อที่ดินขนาด 2 ไร่ 2 งาน 49 ตารางวา ติดถนนเยาวราช จัดตั้งเป็นโรงพยาบาล
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยพระองค์เอง สมัยนั้นใช้ชื่อจีนว่า “โรงพยาบาลเทียนฮั้วอุยอี้” เพื่อตรวจรักษาและจ่ายยาจีนให้กับผู้ป่วยยากไร้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ
และเมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2474 ศาลาว่าการนครบาล จึงออกหนังสืออนุญาตให้โรงพยาบาลเทียนฮั้วอุยอี้ ได้หมายเลขทะเบียนมูลนิธิ ลำดับที่ 1/1 มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาให้แก่คนไข้อนาถา และช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย นับเป็นมูลนิธิแห่งแรกในสยามประเทศ
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่8 พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช(พระยศในขณะนั้น) ได้เสด็จประพาสสำเพ็ง และได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนโรงพยาบาลเทียนฮั้วอุยอี้มูลนิธิ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จเยือนก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินกลับ
ในปี พ.ศ2494 – พ.ศ.2497 นายฮ่อนฝ่า ลิ่วเฉลิมวงศ์ ประธานสมัย 42-43 มีมติให้ก่อตั้งตึกด้านหน้าติดถนนเยาวราช พร้อมทั้งยื่นเรื่องต่อกระทรวงมหาดไทย เปลี่ยนแปลงชื่อโรงพยาบาล เป็นชื่อไทยว่า “โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ”
และในปี พ.ศ. 2500 คณะกรรมการชุดที่ 45 ซึ่งมีนายจุลินทร์ ล่ำซำ (โง่ว จูลิ้ม) เป็นประธานกรรมการ ได้ริเริ่มให้มีแผนกแพทย์แผนปัจจุบัน และขยายเปิดห้องแลปเอ็กเรย์และห้องทำฟันตามลำดับ
ปี พ.ศ. 2506 – พ.ศ. 2509 นายศุภสิทธิ์ มหาคุณ ประธานกรรมการสมัยที่ 48-49 มีมติให้สร้างอาคาร 7 ชั้น เพื่อเป็นสถานพยาบาลแผนปัจจุบัน และเปิดทำพิธี ในวันที่ 16 มกราคม 2509 ซึ่งอาคารของโรงพยาบาลอยู่ทางด้านหลังของศาลเจ้าแห่งนี้
จุลินทร์ เช่า “พระอวโลกิเตศวร” 2 แสนบาท!
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์องค์นี้ นายช่างจีนแกะสลักด้วยไม้จันทน์หอมต้นเดียว เป็นศิลปะแบบราชวงศ์ถัง สันนิษฐานว่า สร้างในราชวงศ์ซ่ง ราว 800-900 ปีก่อน นายช่างหลวงจากกรมศิลปากรเคยมาสำรวจ และให้การยืนยันว่า รูปสลักพระโพธิสัตว์องค์นี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 500 ปี สันนิษฐานว่า ได้เดินทางมาสยามประเทศเมื่อสมัยประเทศจีนปฏิวัติวัฒนธรรม โดยจุลินทร์ ล่ำซำ หรือ โง่ว จูลิ้ม ได้ไปพบพระโพธิสัตว์องค์นี้ที่จังหวัดชลบุรี จึงเจรจาขอเช่ากับเจ้าของเดิมในราคา 2 แสนบาท ซึ่งพระโพธิสัตว์องค์มีน้ำหนักมาก การขนย้ายต้องใช้ชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่า 5 คน
ในขณะที่มีการลำเลียงพระอวโลกิเตศวร ไม้จันทน์หอมองค์นี้จากเมืองชลบุรีเข้ากรุงเทพฯ ได้ปรากฏสายหมอกบางเบาเป็นรูปฉัตร มีชั้นเชิงชัดเจนสวยงามอยู่เหนือพระเศียรตลอดการเดินทาง ยังความประหลาดใจแก่ผู้อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างยิ่ง
โดยนายจุลินทร์ ล่ำซำ ได้อัญเชิญพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไม้จันทน์พระองค์นี้ไว้บูชาที่บ้าน ซึ่งตั้งแต่วันแรก ก็เกิดเหตุฝันประหลาดในเรื่องที่คล้ายๆ กันในหมู่สมาชิกในบ้านหลายคน ฝันเรื่องเดียวกันติดต่อกันหลายวัน แต่ก็ยังไม่มีใครฉุกคิดอะไร ขณะเดียวกัน กิจการค้าของตระกูลที่เคยมีกำไรก็เกิดสะดุดกับปัญหาอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น !
สุดท้าย นายจุลินทร์ ล่ำซำ ลงความเห็นว่า พระบารมีพระโพธิสัตว์องค์นี้ต้องสูงมาก ไม่เหมาะที่จะเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว จึงได้อาราธนานำพระอวโลกิเตศวรพระองค์นี้ ไปตั้งบูชาบนเก๋งจีนในศาล เปิดให้ผู้ศรัทธาได้ร่วมบูชากัน ณ โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2503
ครั้น พ.ศ. 2516 – พ.ศ 2517 นายเจียม คัณธามานนท์ ประธานกรรมการสมัยที่ 53 มีมติให้ปิดทององค์พระ อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พร้อมจัดงานพุทธาภิเษก
สำหรับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้นคนจีนเรียก “กวนอิมผ่อสัก” บางกลุ่มเรียกตามความเชื่อในนิทานเรื่ององค์หญิงเมี่ยวซ่านที่มีรูปลักษณ์อย่างอิสตรีว่า “กวนอิมเนี้ย” ความจริง พระโพธิสัตว์-เทวีพระองค์นี้ มีต้นรากจากพุทธศาสนาฝ่ายมหายานของอินเดีย นิกายสุขาวดี อันมีพระอมิตาภพุทธเจ้า (ฮอนีทอฮุกโจ้ว) เป็นประธาน ณ สุขาวดีพุทธเกษตร สวรรค์ทิศตะวันตก ทรงมีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (กวงซีอิมผู่สัก) เป็นอัครสาวกฝ่ายขวา และพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ (ไต้ซีจี้ผ่อสัก) เป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย
เหตุที่เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความการุณย์ ชาวจีนจึงเริ่มแปลงร่างบุรุษให้เป็นเรือนร่างสตรีที่อ่อนช้อย รูปเคารพของพระโพธิสัตว์กวนอิม แม้จะสวมอาภรณ์กรุยกราย ทรวดทรงสะโอดสะองอย่างสตรีเพศ แต่หน้าอกแบนราบไม่มีปทุมถันอย่างเพศหญิง
ส่วนบทสวดมนตร์บูชาพระองค์ท่าน สุดแต่จริตของแต่ละคน เช่น
บทบูชา “เจ้าแม่กวนอิม” … นำโมไต๋ชื้อ ไต๋ปุย กิวโคว่ กิวหลั่ง กวงไต๋เล่งก้ำ กวงสี่อิมผู่สัก…. ฯลฯ
พระคาถาสรรพราเชนทร์ เป็นถ้อยศักดิ์สิทธิ์ 6 พยางค์ คือ โอม มณี ปัทเม หุม หรือ โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง (แปลว่า ดวงแก้วอุบัติขึ้นเหนือดอกบัว)
บทมหากรุณาธารณีสูตร หรือ ไต่ปุยจิ่ว เป็นต้น
ในแต่ละปี กำหนดวันสำคัญของพระอวโลกิเตศวร 3 วัน (ตามปฏิทินจันทรคติแบบจีน) คือ
วันประสูติ วันที่ 19 เดือน 2 (ในปีนี้ 2568 ตรงกับวันอังคารที่ 18 มีนาคม)
วันออกบวช วันที่ 19 เดือน 9
วันบรรลุธรรม วันที่ 19 เดือน 6
ณ โรงพยาบาลเทียนฟ้า นอกจากมีศาลพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เป็นประธานแล้ว ด้านขวามือ จะเป็นเสาทีกง (เทพยดาฟ้า-ดิน) และ ด้านซ้ายจะเป็นศาลขนาดย่อม รวมเทพอีก 5+1 องค์คือ ไฉ่ซิ้งเอี้ย (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) , ฮั่วท้อเซียงซือ (หมอฮัวโต๋ – ฉายา หมอเทวดา) , ไท่ส่วยเอี๊ย (เทพเจ้าคุ้มครองชะตา) , เอี๊ยะอ๊วงเซียงซือ (เทพเจ้าแห่งยา) , ฮกเต็ก แปะกง-แปะม่า (เทพเจ้าที่ ตา-ยาย) ติดกับศาลขนาดย่อมนี้จะเป็นแผนกรับบริจาค ของโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ แวะมาบูชาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์และร่วมทำบุญสมทบเพื่อสืบทอดการรักษาและพยาบาลให้กับผู้ป่วยยากไร้กันเถิด !
เรื่อง : Nai Mu