วัดจีนเก่าแก่
สำหรับ God’s City จากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City โดย Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายสัปดาห์นี้ ขอพาบรรดาสายมูและไม่มูทั้งหลายไปรู้จักกับ “มังกรเขียว-บ่อน้ำทิพย์” วัดทิพยวารี วัดจีนเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี
โดยวัดดังกล่าวมีชื่อไทยว่า วัดทิพยวารีวิหาร (Wat Thiphaya Waree) ส่วนชื่อจีนคือ วัดกัมโล่วยี่ (kam Loi yi Temple) (กัมโล่ว แปลว่า น้ำทิพย์ / ยี่ แปลว่า วัด = วัดน้ำทิพย์) แต่คนส่วนใหญ่ทั้งคนไทยและคนจีนจะเรียกขานตามเทพที่เคารพนับถือสืบกันมา นั่นคือ “แชเล่งเอี้ย” หรือ เทพเจ้ามังกรเขียว (Green Dragon God) ชาวบ้านจึงเรียกชื่อแบบไม่เป็นทางการว่า “วัดมังกรเขียว” ซึ่งตั้งอยู่ในซอยทิพยวารี ข้างกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (Metropolitan Police Division 6) หรือ ตรงข้ามกับห้างดิโอลด์สยาม (The Old Siam Plaza) นั่นเอง

ชาวญวนสร้างวัดสมัยกรุงธนบุรี
ในปี พ.ศ. 2319 มีชาวญวนซึ่งอพยพติดตาม “องเชียงชุน” ราชบุตรเจ้าเมืองเว้หนีภัยสงครามเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินพระเจ้าตากสิน (King Taksin) พระองค์ได้พระราชทานที่ดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้ บ้านญวน และวัดกามโล่ตื่อ (Kam Lo Tu Temple) ในฝ่ายอนัมนิกาย (Anam Nikaya) จึงเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย
เมื่อเข้าสู่กรุงรัตนโกสินทร์ “องเชียงสือ” พระนัดดาเจ้าเมืองเว้เข้ามาประเทศสยามอีกคนหนึ่ง ต่อมาได้ลักลอบหนีกลับเมืองเว้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (Prince Maha Sura Singhanat) ซึ่งแคลงพระทัยในชาวญวนอยู่ก่อนแล้ว จึงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายชุมชนญวนออกไปอยู่ที่ซึ่งห่างจากพระนคร แล้วโปรดเกล้าให้ชาวไทยและชาวจีนเข้ามาอาศัยแทน ส่วนวัดกามโล่ตื่อก็เริ่มทรุดโทรมจนกลายเป็นวัดร้าง ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาเป็นเวลานาน

เมื่อเข้าสู่แผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 พศ. 2439 มีพระภิกษุชาวจีนชื่อ ไหซัน (Monk Haisan) มาจากมณฑลหูหนาน (Hunan) ได้มาอาศัยจำพรรษาที่วัดร้างกามโล่ตื่อแห่งนี้ ต่อมาคหบดีชาวจีนซึ่งค้าขายในตลาดมิ่งเมือง ชื่อ นายเช็งเต๊ก แซ่เจี่ย (Jia Chengtek) และภรรยาชื่อนางซิ่วออม แซ่ตัน (Tan Siu-Om) ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายจึงสามารถบูรณะซ่อมแซมวัดจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ ในปี 2499 พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดกัมโล่วยี่”
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ (Prince Sawasdiprawat -Sommot Amon Phan) ทรงช่วยตั้งชื่อเป็นไทยว่า “วัดทิพยวารี” ซึ่งนำมาจากความหมายของ “บ่อน้ำทิพย์ (Holy water Well ) และศาลเทพมังกรเขียว” ที่อยู่คู่วัดนี้มาตั้งแต่ยุคกรุงธนบุรี โดยบ่อน้ำทิพย์ประจำวัดทิพยวารีวรวิหาร (อยู่ชั้นล่าง) เป็นบ่อน้ำมนต์โบราณอายุกว่า 200 กว่าปี และ แชเล่งเอี้ย หรือเทพเจ้ามักรเขียว ตามความเชื่อคือ เทพารักษ์ผู้รักษาบ่อน้ำแห่งนี้
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานสมณศักดิ์หลวงจีนไหซันให้เป็น หลวงจีนธรรมรสจีนศาสน์ ปลัดซ้ายจีนนิกาย ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส (abbot ) และทรงพระราชทานชื่อ “วัดทิพยวารีวิหาร” เป็นวัดในสังกัดจีนนิกาย (Chinese Nikaya)
ซึ่งในช่วงปี พ.ศ. 2489 วัดและพระประธานของวัดทิพยวารีเสียหายชำรุดจากเหตุไฟไหม้ใหญ่ในตลาดบ้านหม้อที่ได้ลามมาถึงวัด จึงได้มีการบูรณะวัดอีกครั้ง ดังที่เห็นในปัจจุบัน


“แชเล่งเอี้ย” เจ้าพ่อมังกรเขียว
แต่โบราณกาลชาวจีนเชื่อกันว่า เทพมังกร เป็นเทพารักษ์ประจำแหล่งน้ำทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ หรือมหาสมุทร ย่อมมีเทพมังกรปกป้องคุ้มครอง สังคมโบราณ มนุษย์ต้องพึ่งพาธรรมชาติเพื่อทำการเกษตร จึงผูกพันกับเทพมังกรที่ให้น้ำ มีคุณสมบัติ เหาะเหินบนอากาศ แหวกน้ำ ดำดินได้สารพัด เชื่อกันว่า เทพมังกรเขียวจะบันดาลความอุดมสมบูรณ์ ให้มีฝนตกต้องตามฤดูกาล

ประเพณีชาวพื้นเมืองในแถบลุ่มแม่น้ำแยงซีลงมา จนถึงชาวแต้จิ๋วและฮกเกี้ยน แต่โบราณนับถืองูและบูชางู มีประเพณีในแถบแต้จิ๋ว กล่าวถึงพิธีรับเจ้างูในเดือนยี่ และถึงฤดูน้ำหลากจะมีฝูงงูลอยตามน้ำบ่ามาติดอยู่ที่ริมตลิ่ง ชาวบ้านก็จะเชิญงูกลับมาบูชาที่ศาลประจำหมู่บ้าน เลี้ยงงูด้วยไข่ไก่ดิบ งูเหล่านี้ไม่ทำร้ายคน หลังเสร็จพิธี ฝูงงูก็จะกลับไปทางช่องด้านหลังของศาลเจ้า ชาวบ้านเรียกเจ้างูว่า แชเล่งเอี้ย หรือ เทพมังกรเขียวนั่นเอง
ณ ริมฝั่งน้ำหั่งกัง หน้าเมืองแต้จิ๋ว ในประเทศจีน มีศาลมังกรเขียวที่บูชางู และมีงูเขียวใหญ่ หัวงูคล้ายอักษรจีน “อ้วง” แปลว่า “เจ้า” อาศัยเลื้อยไปมาอยู่ในศาล ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิงมีการบูชารูปอังจี้อ้วง ขุนพลสมัยสามก๊กที่ได้รับการอวยยศในเป็นอ๋อง (มีข้าหลวงชาวแต้จิ๋ว นับถือท่านอังจี้อ้วง ขณะไปเป็นขุนนางที่ยูนนาน จึงได้อัญเชิญรูปเคารพกลับมาประดิษฐานที่นี่) เป็นประธานศาลเจ้าแห่งนี้ เป็นศาลเทพเจ้าเทพมังกรเขียว ที่ชาวจีนแต้จิ๋วนับถือมากที่สุดแห่งหนึ่ง
นอกจากนี้ในยามที่ดวงชะตาของผู้ใดโคจรมาตกในตำแหน่งตกต่ำ ที่ต้องบูชาเทพเจ้าเพื่อขอพรในปีนั้นๆ มีความเชื่อว่า เทพมังกรเขียวเป็นองค์แทนเทพมังกรที่คุ้มครองดวงชะตา (ทุกราศีปีเกิด) ในปีเหล่านั้นอีกด้วย
เทพมังกรเขียวหรือ แชเล่งเอี้ย วัดทิพยวารี เป็นที่เคารพสักการะในหมู่ชาวไทยและคนจีนทั่วไปมาช้านานหลายร้อยปี เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอำนวยพรให้ผู้ศรัทธาได้ผลสมปรารถนา ตามกำลังวาสนาเดิมของแต่ละบุคคล



วันบูชาของท่านคือ วันที่ 24 เดือน 2 (ทางจันทรคติจีน) โดยในปี 2568 ตรงกับวันที่ 23 มีนาคม นี้
โถงกลางชั้น 2 ประดิษฐาน “ซำปอฮุกโจ้ว” หรือพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ตามคติมหายาน และยังมีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (Avalokiteshvara) และพระกษิติครรภโพธิสัตว์ (Ksitigarbha Bodhisattva) อีกทั้ง เทพเจ้ามังกรเขียว, เจ้าแม่ทับทิม (Empress of Heaven) , โป้ยเซียน (Eight Immortals), ท้าวเวสสุวรรณ (Lord Vessuwan) ฯลฯ


นอกจากแชเล่งเอี้ยแล้ว ที่นี่ยังมีเทพเจ้าที่จะคุ้มครองดูแลคนในราศีเกิดปีต่างๆ ทั้ง 12 ราศี และ ยังมีเทพเด่นๆอีกหลายพระองค์ ที่ถูกพูดถึง เช่น เทพเปลี่ยนดวง หรือ “จ่วนซินถงจื่อ” ที่แปลว่า เทวกุมารหัวใจเปลี่ยนผัน ถือกังหัน เชื่อว่า “ถ้าคุณหมุนรอบกังหัน ดวงก็จะเปลี่ยน” กุศโลบายนี้ มองให้ลึกก็คือ ทุกชีวิตสามารถเปลี่ยนดวงได้ด้วยมือตัวเอง ! , เทพสามตา หรือ เอ้อหลางเสิน(Erlang God) นักรบแห่งสวรรค์ บริวารคู่ใจคือ “เห่าฟ้า” (Erlang’s Dog) ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ลองไปดู “เห่าฟ้า” หลากหลายขนาดที่คนมาถวายแก้บนก็แล้วกัน , อีกองค์หนึ่งคือ เทพปรองดอง หรือ เทพฮัว-ฮะหน่อเซียน (God of reconciliation) ไหว้ขอพรในเรื่องความสามัคคี ลดแรงปะทะ , เจ้าแม่ตี่บ้อเนี้ย หรือ แม่ธรณี (Goddess Queen of the Earth) ที่รูปร่างค่อนข้างหนา ล่ำสัน ไม่สะอดสะอง บิดเอวเป็นตัวเอสอย่างศิลปะไทย

เทพเจ้าทั้งหลายที่อยู่ในวัดแห่งนี้จะเป็นศิลปะแบบชาวบ้าน เข้าถึง สัมผัสได้ ไม่ยาก !
เรื่อง : Nai Mu
Leave feedback about this