มีนาคม 17, 2025
ticycity.com
Culture God's City

“มังกรเขียว-บ่อน้ำทิพย์”  วัดทิพยวารี 

วัดจีนเก่าแก่

สำหรับ God’s City  จากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City  โดย Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายสัปดาห์นี้ ขอพาบรรดาสายมูและไม่มูทั้งหลายไปรู้จักกับ “มังกรเขียว-บ่อน้ำทิพย์”  วัดทิพยวารี  วัดจีนเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี 

โดยวัดดังกล่าวมีชื่อไทยว่า วัดทิพยวารีวิหาร (Wat Thiphaya Waree)  ส่วนชื่อจีนคือ วัดกัมโล่วยี่ (kam Loi yi Temple)  (กัมโล่ว แปลว่า น้ำทิพย์ / ยี่ แปลว่า วัด = วัดน้ำทิพย์) แต่คนส่วนใหญ่ทั้งคนไทยและคนจีนจะเรียกขานตามเทพที่เคารพนับถือสืบกันมา นั่นคือ “แชเล่งเอี้ย” หรือ เทพเจ้ามังกรเขียว (Green Dragon God)  ชาวบ้านจึงเรียกชื่อแบบไม่เป็นทางการว่า “วัดมังกรเขียว” ซึ่งตั้งอยู่ในซอยทิพยวารี ข้างกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (Metropolitan Police Division 6) หรือ ตรงข้ามกับห้างดิโอลด์สยาม (The Old Siam Plaza) นั่นเอง

วัดทิพยวารีวิหาร (กัมโล่วยี่)

ชาวญวนสร้างวัดสมัยกรุงธนบุรี

ในปี พ.ศ. 2319 มีชาวญวนซึ่งอพยพติดตาม “องเชียงชุน” ราชบุตรเจ้าเมืองเว้หนีภัยสงครามเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินพระเจ้าตากสิน (King Taksin)  พระองค์ได้พระราชทานที่ดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้ บ้านญวน และวัดกามโล่ตื่อ (Kam Lo Tu Temple) ในฝ่ายอนัมนิกาย (Anam Nikaya) จึงเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย

เมื่อเข้าสู่กรุงรัตนโกสินทร์ “องเชียงสือ” พระนัดดาเจ้าเมืองเว้เข้ามาประเทศสยามอีกคนหนึ่ง ต่อมาได้ลักลอบหนีกลับเมืองเว้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (Prince Maha Sura Singhanat) ซึ่งแคลงพระทัยในชาวญวนอยู่ก่อนแล้ว จึงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายชุมชนญวนออกไปอยู่ที่ซึ่งห่างจากพระนคร แล้วโปรดเกล้าให้ชาวไทยและชาวจีนเข้ามาอาศัยแทน  ส่วนวัดกามโล่ตื่อก็เริ่มทรุดโทรมจนกลายเป็นวัดร้าง ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาเป็นเวลานาน 

บ่อน้ำทิพย์ ที่ชั้น 2

เมื่อเข้าสู่แผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5  พศ. 2439 มีพระภิกษุชาวจีนชื่อ ไหซัน (Monk Haisan)  มาจากมณฑลหูหนาน (Hunan) ได้มาอาศัยจำพรรษาที่วัดร้างกามโล่ตื่อแห่งนี้  ต่อมาคหบดีชาวจีนซึ่งค้าขายในตลาดมิ่งเมือง ชื่อ นายเช็งเต๊ก แซ่เจี่ย (Jia Chengtek)  และภรรยาชื่อนางซิ่วออม แซ่ตัน (Tan Siu-Om)  ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายจึงสามารถบูรณะซ่อมแซมวัดจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ ในปี 2499 พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดกัมโล่วยี่” 

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ (Prince Sawasdiprawat -Sommot Amon Phan) ทรงช่วยตั้งชื่อเป็นไทยว่า “วัดทิพยวารี” ซึ่งนำมาจากความหมายของ “บ่อน้ำทิพย์ (Holy water Well ) และศาลเทพมังกรเขียว” ที่อยู่คู่วัดนี้มาตั้งแต่ยุคกรุงธนบุรี  โดยบ่อน้ำทิพย์ประจำวัดทิพยวารีวรวิหาร (อยู่ชั้นล่าง) เป็นบ่อน้ำมนต์โบราณอายุกว่า 200 กว่าปี และ แชเล่งเอี้ย หรือเทพเจ้ามักรเขียว ตามความเชื่อคือ เทพารักษ์ผู้รักษาบ่อน้ำแห่งนี้

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2452  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานสมณศักดิ์หลวงจีนไหซันให้เป็น หลวงจีนธรรมรสจีนศาสน์ ปลัดซ้ายจีนนิกาย ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส (abbot ) และทรงพระราชทานชื่อ “วัดทิพยวารีวิหาร” เป็นวัดในสังกัดจีนนิกาย (Chinese Nikaya) 

ซึ่งในช่วงปี พ.ศ. 2489 วัดและพระประธานของวัดทิพยวารีเสียหายชำรุดจากเหตุไฟไหม้ใหญ่ในตลาดบ้านหม้อที่ได้ลามมาถึงวัด จึงได้มีการบูรณะวัดอีกครั้ง ดังที่เห็นในปัจจุบัน

เทพเจ้ามังกรเขียว และเหล่าเทพ ในเรือนกระจก ภายในถ้ำมังกรสถิต
แชเล่งเอี้ย (เทพเจ้ามังกรเขียว)  และเทพเปลี่ยนดวง  จ่วนซินถงจื่อ (เทวกุมารหัวใจเปลี่ยนผัน) 

“แชเล่งเอี้ย”  เจ้าพ่อมังกรเขียว 

แต่โบราณกาลชาวจีนเชื่อกันว่า เทพมังกร เป็นเทพารักษ์ประจำแหล่งน้ำทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ หรือมหาสมุทร ย่อมมีเทพมังกรปกป้องคุ้มครอง สังคมโบราณ มนุษย์ต้องพึ่งพาธรรมชาติเพื่อทำการเกษตร  จึงผูกพันกับเทพมังกรที่ให้น้ำ มีคุณสมบัติ เหาะเหินบนอากาศ แหวกน้ำ ดำดินได้สารพัด เชื่อกันว่า เทพมังกรเขียวจะบันดาลความอุดมสมบูรณ์ ให้มีฝนตกต้องตามฤดูกาล 

ประวัติ แชเล่งเอี้ย

ประเพณีชาวพื้นเมืองในแถบลุ่มแม่น้ำแยงซีลงมา จนถึงชาวแต้จิ๋วและฮกเกี้ยน แต่โบราณนับถืองูและบูชางู มีประเพณีในแถบแต้จิ๋ว กล่าวถึงพิธีรับเจ้างูในเดือนยี่ และถึงฤดูน้ำหลากจะมีฝูงงูลอยตามน้ำบ่ามาติดอยู่ที่ริมตลิ่ง ชาวบ้านก็จะเชิญงูกลับมาบูชาที่ศาลประจำหมู่บ้าน เลี้ยงงูด้วยไข่ไก่ดิบ งูเหล่านี้ไม่ทำร้ายคน หลังเสร็จพิธี ฝูงงูก็จะกลับไปทางช่องด้านหลังของศาลเจ้า ชาวบ้านเรียกเจ้างูว่า แชเล่งเอี้ย หรือ เทพมังกรเขียวนั่นเอง 

ณ ริมฝั่งน้ำหั่งกัง หน้าเมืองแต้จิ๋ว ในประเทศจีน มีศาลมังกรเขียวที่บูชางู และมีงูเขียวใหญ่ หัวงูคล้ายอักษรจีน “อ้วง” แปลว่า “เจ้า”  อาศัยเลื้อยไปมาอยู่ในศาล ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิงมีการบูชารูปอังจี้อ้วง ขุนพลสมัยสามก๊กที่ได้รับการอวยยศในเป็นอ๋อง (มีข้าหลวงชาวแต้จิ๋ว นับถือท่านอังจี้อ้วง ขณะไปเป็นขุนนางที่ยูนนาน จึงได้อัญเชิญรูปเคารพกลับมาประดิษฐานที่นี่) เป็นประธานศาลเจ้าแห่งนี้ เป็นศาลเทพเจ้าเทพมังกรเขียว ที่ชาวจีนแต้จิ๋วนับถือมากที่สุดแห่งหนึ่ง 

นอกจากนี้ในยามที่ดวงชะตาของผู้ใดโคจรมาตกในตำแหน่งตกต่ำ ที่ต้องบูชาเทพเจ้าเพื่อขอพรในปีนั้นๆ มีความเชื่อว่า เทพมังกรเขียวเป็นองค์แทนเทพมังกรที่คุ้มครองดวงชะตา (ทุกราศีปีเกิด) ในปีเหล่านั้นอีกด้วย

เทพมังกรเขียวหรือ แชเล่งเอี้ย วัดทิพยวารี เป็นที่เคารพสักการะในหมู่ชาวไทยและคนจีนทั่วไปมาช้านานหลายร้อยปี เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอำนวยพรให้ผู้ศรัทธาได้ผลสมปรารถนา ตามกำลังวาสนาเดิมของแต่ละบุคคล 

พระพุทธเจ้า 3 พระองค์ตามคติมหายาน
เจ้าแม่ทับทิม
 ท้าวเวสสุวรรณ

วันบูชาของท่านคือ วันที่ 24 เดือน 2 (ทางจันทรคติจีน)  โดยในปี 2568 ตรงกับวันที่ 23 มีนาคม นี้  

โถงกลางชั้น 2 ประดิษฐาน “ซำปอฮุกโจ้ว” หรือพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ตามคติมหายาน และยังมีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (Avalokiteshvara)  และพระกษิติครรภโพธิสัตว์ (Ksitigarbha Bodhisattva) อีกทั้ง เทพเจ้ามังกรเขียว,  เจ้าแม่ทับทิม (Empress of Heaven)  , โป้ยเซียน (Eight Immortals), ท้าวเวสสุวรรณ (Lord Vessuwan)  ฯลฯ 

เทพสามตา (เอ้อหลางเสิน) และ “เห่าฟ้า” บริวารคู่ใจ ที่มีคนนำมาถวายแก้บน (มีตัวใหญ่กว่านี้อีกนะ!)
เจ้าแม่ตี่บ้อเนี้ย หรือแม่ธรณี เป็นอาม่าที่เจ้าเนื้อ หนักแน่น สมกับที่เป็นเทพแห่งผืนดิน ! 

นอกจากแชเล่งเอี้ยแล้ว ที่นี่ยังมีเทพเจ้าที่จะคุ้มครองดูแลคนในราศีเกิดปีต่างๆ ทั้ง 12 ราศี และ ยังมีเทพเด่นๆอีกหลายพระองค์ ที่ถูกพูดถึง เช่น เทพเปลี่ยนดวง หรือ “จ่วนซินถงจื่อ” ที่แปลว่า เทวกุมารหัวใจเปลี่ยนผัน ถือกังหัน เชื่อว่า “ถ้าคุณหมุนรอบกังหัน ดวงก็จะเปลี่ยน” กุศโลบายนี้ มองให้ลึกก็คือ ทุกชีวิตสามารถเปลี่ยนดวงได้ด้วยมือตัวเอง ! , เทพสามตา หรือ เอ้อหลางเสิน(Erlang God)  นักรบแห่งสวรรค์ บริวารคู่ใจคือ “เห่าฟ้า” (Erlang’s Dog)  ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ลองไปดู “เห่าฟ้า” หลากหลายขนาดที่คนมาถวายแก้บนก็แล้วกัน , อีกองค์หนึ่งคือ เทพปรองดอง หรือ เทพฮัว-ฮะหน่อเซียน (God of reconciliation)  ไหว้ขอพรในเรื่องความสามัคคี ลดแรงปะทะ , เจ้าแม่ตี่บ้อเนี้ย หรือ แม่ธรณี (Goddess Queen of the Earth)  ที่รูปร่างค่อนข้างหนา ล่ำสัน ไม่สะอดสะอง บิดเอวเป็นตัวเอสอย่างศิลปะไทย 

เทพสามตา (เอ้อหลางเสิน)  , เทพอุ้มสม (เทพฮัว-ฮะหน่อเซียน)  และพระแม่ธรณี (เจ้าแม่ตี่บ้อเนี้ย)

เทพเจ้าทั้งหลายที่อยู่ในวัดแห่งนี้จะเป็นศิลปะแบบชาวบ้าน เข้าถึง สัมผัสได้ ไม่ยาก ! 

 เรื่อง : Nai Mu

Leave feedback about this

  • Rating

Fashion, Trends

อูลาแล็บ

Movement, Voice

หัตถศิลป์

Destination, Travel

เมสัน จับ

Culture, Ticy Entertainment

‘High Pot

Destination, Food

‘ข้าวแช่’