ticycity.com Contents Culture God's City ‘ดีปาวลี’ แสงสว่าง ชัยชนะเหนือความมืดและชั่วร้าย  
Culture God's City

‘ดีปาวลี’ แสงสว่าง ชัยชนะเหนือความมืดและชั่วร้าย  

เทศกาลแห่งแสงไฟ วันปีใหม่ของชาวฮินดู 

เพราะมนุษย์ทุกผู้ในโลก ย่อมอยากมีโชค เงินทองไหลมาไม่ขาดมือ เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย ไม่ขาดแคลน ยากไร้ วันนี้  Nai Mu กรูรูสายมูแห่งGod’s City  ผู้มีเรื่องเล่ามากมายจากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City มาชวนสายมูและไม่มูทั้งหลายไปทำความรูจักกับเทศกาลแห่งแสงไฟ วันปีใหม่ของชาวฮินดู  ‘ดีปาวลี’ แสงสว่าง ชัยชนะเหนือความมืดและชั่วร้าย  

ทั้งนี้เทศกาลดิวาลี, ดีปาวลี, ทิวาลี หรือ ทีปาวลี แล้วแต่จะเรียก คือเทศกาลแห่งแสงไฟ ซึ่งเกี่ยวข้องกับองค์พระลักษมี เทวีแห่งโชคลาภและเงินทอง, พระพิฆเนศ เทพผู้ขจัดอุปสรรค และพระกุเบรา (ท้าวกุเวร) เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง  การ์ด และมูรติก็มีปางที่ “พระคเณศและพระลักษมี” ประทับอยู่คู่กัน หรือเพิ่มพระกุเบรา เป็นสามก็มีเช่นกัน

พระลักษมี เทวีแห่งโชคลาภ ผู้มาพร้อมกับเทศกาลแห่งแสงสว่าง

โดยวันดีปาวลีเป็นเทศกาลที่ภารตะชนจะหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน เพราะเทศกาลนี้กินเวลาราว 5-6 วันในช่วงเดือนการติกตามปฏิทินฮินดู หรือประมาณเดือนตุลาคมหรือเดือนพฤศจิกายนของไทยเรา ข้าราชการในแต่ละรัฐมีวันหยุดไม่เท่ากัน และไม่ใช่เฉพาะที่อินเดียเท่านั้น ในประเทศอื่น เช่น เนปาล, มาเลเซีย, สิงคโปร์,พม่า ก็ถือเป็นวันหยุดอีกด้วย

ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ห้างร้านต่างๆ จะติดไฟสว่างไสวสวยงาม เป็นการสอดคล้องกับสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้คือ แถวตะเกียงดินเผา ที่จุดให้สว่างไสว เพื่อต้อนรับพระลักษมีที่เสด็จมาอำนวยพร  อีกทั้งผู้คนยังนิยมสวมเสื้อใหม่ไปเยี่ยมญาติสนิท มิตรสหาย พร้อมของฝาก ด้วยถือว่า เป็นวันปีใหม่ของชาวฮินดู 

สำหรับในปี พ.ศ. 2568 นี้ เทศกาลดีปาวลีจะตรงกับวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568 โดยจะกินเวลา 5 วัน 5 เหตุการณ์  และมาพร้อมกับหลายความเชื่อ 

ดีปาวลี ผ่านความมืดไปสู่ความสว่าง , ธรรมมะชนะอธรรม , ความดีชนะความชั่ว

เมื่อครั้งที่เกิดศึกระหว่างอสูรกับเทวดานั้น ต้นเหตุมาจากพระอินทร์โดนคำสาปของฤษีทุรวาส ทำให้อ่อนกำลัง ฝ่ายเทวดารบกับอสูรก็พ่ายแพ้หนัก  เทวดาหมดหนทางสู้ ชีวิตที่เคยหรูหรา ฟุ่มเฟือย มืดมน ก็ขัดสนไปหมด พระวิษณุมหาเทพจึงคิดแผน วิธีสามัคคีมวลหมู่ เนียนๆ ให้กำลังอสูรมาช่วยเทวดากวนเกษียรสมุทรเพื่อหาน้ำอมฤต แรกๆ ก็ทำทีว่า จะแบ่งน้ำอมฤตให้เท่ากัน สุดท้ายก็ตลบหลังยอมเสียสัตย์ด้วยอุบาย ทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตเทวดากลับมาเป็นเป็นอมตะ มีกำลังเหนืออสูรเฉกเช่นเดิม

พระราม สีดา พระลักษณ์ หนุมานกลับอโยธยา ต้นเค้าของวันดีปาวลี

การกวนเกษียรสมุทร กินเวลานับพันปี มีของวิเศษทยอยกันผุดขึ้นจากการทำกิจกรรมครั้งนี้ คราวหนึ่งเกิดดอกบัวลอยขึ้นเหนือน้ำ เมื่อดอกบัวบานก็ปรากฏเทวีที่มีรูปร่างงดงามนามว่า “ลักษมี” เหล่าเทพ-เทวดาทั้งหลายพากันอวยยศ อวยศักดิ์ให้นางด้วยความนอบน้อม เปล่งคำสรรเสริญ และมอบอาภรณ์ แก้ว แหวน เงิน ทองเครื่อง เครื่องประดับ และของวิเศษให้  

หลังเสร็จพิธี นางก็ลอยไปกราบพระวิษณุที่นั่งเป็นประธานอยู่ พระเป็นเจ้ารับนางเป็นชายาในทันที ไม่รู้ว่า พระวิษณุต้องตาในความงาม หรือคุณสมบัตินางกันแน่ เพราะนางเป็นสัญลักษณ์ของโชค  ที่แห่งใดมีนางอยู่ โชคลาภและเงินทองย่อมมาไม่ขาดสาย 

ชาวบ้านจึงพร้อมใจให้ ดีปาวลี  เป็นวันประสูติพระลักษมี  แต่ในขณะเดียวกันยังมีวันประสูติของพระลักษมีที่เป็นทางการอีกวันหนึ่ง คือ  “วันลักษมีชยันตี”  แต่จะอยู่ในช่วงเวลาราวๆ เดือนมีนาคมของทุกปี ! 

ย้อนกลับมาที่วันดีปาวลี วันนีั้!! จะมีแถวตะเกียงดินเผาที่จุดไฟสว่างตั้งแต่ช่วงเย็นจนสู่ราตรีในวันนี้ เปรียบเหมือนการตั้ง GPS กันหลงทาง เพื่อให้กับพระลักษมีที่จะเสด็จมาเยือนในบ้านหลังนั้นๆ 

แต่ต้นเค้าของเรื่องราวซึ่งได้รับการยอมรับที่สุด มาจากเรื่องพระราม! ซึ่งเล่ากันว่า ช่วงเวลา 14 ปี ที่พระราม นางสีดา พระลักษณ์ และหนุมาน ได้ใช้ชีวิตเดินป่า ถือสันโดษ และมีชัยต่อ ทศกัณฐ์ (ราวณะ) ก็ได้เวลาที่จะเดินทางกลับเมือง ชาวอโยธยาทราบข่าว ต่างรอต้อนรับด้วยความยินดี เหมือนเมื่อ 14 ปีก่อน ที่รวมตัวกันออกมาส่งพระองค์ ไม่มีน้ำตาแห่งความอาลัยเมื่อครั้งที่แล้ว  โดยวันนี้ ทุกใบหน้าของผู้คน ทุกเพศ ทุกวัย ล้วนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ทุกบ้านเรือน ต่างตั้งแถวตะเกียงดินเผา พากันเฉลิมฉลองจุดไฟให้สว่างไสวทั้งเมือง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า “ธรรมะได้ชนะอธรรม”  แสงสว่างนี้ได้ขับไล่ความมืดจนหมดสิ้นแล้ว ต่อไปนี้ ชาวประชาเมืองอโยธยาจะมีความความสว่างไสวและโชคดี … เพราะพระรามคือ ราชาในต้นแบบ

เทศกาลดีปาวลีนี้ เกี่ยวข้องกับ  5 เหตุการณ์ โดยอาจจะไม่ได้เรียงลำดับกัน  

ก่อนถึงวันสำคัญนี้ ทุกครอบครัวจะเริ่มทำความสะอาดบ้านเรือน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เสียหาย หักพังให้สมบูรณ์  วันแรกในเทศกาลนี้คือ วันธนเตรส และปิดท้ายด้วย วันภาย ดูซ 

@ วันแรกของเทศกาลนี้ เรียกว่า วันธนเตรส (Dhan Taras) ตรงกับแรม 13 ค่ำ เดือน11 ปฏิทินฮินดู มีการบูชาเทพธันวันตริ ซึ่งเป็นวิษณุอวตาร ในคราวกวนเกษียรสมุทร เพราะพิธีนี้  พระวิษณุ อวตารทั้งปางใหญ่ อย่าง กูรมารตาร เพื่อใช้กระดองเต่ารองรับเขามันทร ป้องกันแผ่นดินไม่ให้ทะลุ  ส่วนปางย่อยๆ เช่น เทพธันวันตริ และนางโมหินี   

เทพธันวันตริ ในวันธนเตรส

“เทพธันวันตริ” ถือเป็นบรมครูทางการแพทย์ของเหล่าเทวดาทั้งปวง  เป็นสิ่งวิเศษ ผุดขึ้นพร้อมทูนหม้อกลัศบรรจุน้ำอมฤต ซึ่งเป็นสิ่งที่เทวดาและอสูรต่างต้องการเพื่อความเป็นอมตะ  พระองค์คือ “เทพเจ้าแห่งอายุรเวทและแพทย์ศาสตร์”  อินเดียถือวันนี้ เป็นวัน “อายุรเวทแห่งชาติ” นอกจากนี้ ยังมีการบูชาเทพอื่นๆควบไปด้วย เช่น พระลักษมี, พระคเณศ , พระกุเบรา, พระสรัสวดี, พระอินทร์ 

@ เหตุการณ์ต่อมา  เรียกการบูชาในวันนี้ว่า “นรกา จตุรถี” ตรงกับวันแรม 4 ค่ำเดือน11 ปฏิทินฮินดู โดย นรกา เป็นลูกของพระวราหะ นารายณ์อวตารปางที่ 3  ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นครึ่งคน ครึ่งหมูป่า หน้าที่หลักของปางนี้คือ สังหาร “หิรัณยากษะ”  ที่ม้วนแผ่นดินหนีบใต้รักแร้ลงไปในบาดาล ดังนั้น หมูป่าจึงต้องใช้เขี้ยวเพชรงัดแผ่นดินขึ้นจากบาดาลมาไว้ตามเดิม 

ด้านชีวิตครอบครัว พระวราหะมีชายาคือ พระภูเทวี ซึ่งเป็นเทวีแห่งโลกและแผ่นดิน  มีลูกด้วยกันคนหนึ่งชื่อ “นรกาสูร” พระภูเทวีเคยขอพรต่อพระวิษณุเทพว่า ขอให้ลูกของตนมีอำนาจ และอายุยืนยาว คนอื่นจะฆ่าไม่ตาย นอกจากน้ำมือของแม่ตนเองเท่านั้น  พรดังกล่าว ทำให้ นรกาสูร ได้เป็นกษัตริย์เมืองปราคโยติษะ  โอหัง มีนิสัยชั่วร้ายเหลือประมาณ ทั้งยึดโลก บุกสวรรค์ ฉกมงกุฏพระอินทร์ ขโมยตุ้มหูนางอทิติ เทพมารดา และหอบเอานางฟ้าอีก 16,000 นางไปเป็นสมบัติตน บรรดาเทวดาต่างเดือดร้อนจึงไปเฝ้าวิงวอนให้พระวิษณุช่วย พระวิษณุก็บอกว่า ครั้นเมื่ออวตารเป็นพระกฤษณะจะไปปราบให้

ล่วงเวลา จนพระกฤษณะและชายาคนหนึ่งชื่อ สัตยภามา  ขี่ครุฑไปปราบนรกาสูรที่เมืองปราคโชยติษ สู้รบกันดุเดือด นรกาสูรเล่นงานหนักไม่ยั้งมือ จนพระกฤษณะสลบไป นางสัตยภา ซึ่งเป็นอวตารของพระธรณีเห็นก็โกรธแค้นมาก จึงยิงศรเพลิงใส่นรกาสูร ก่อนตายเขาขอให้วันนี้ได้มีการเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงเขา หนึ่งในเทศกาลดีปาวลี คือวัน นรกาจตุรทศี (Naraka Chaturdashi) แสดงถึง ชัยชนะของธรรมะเหนืออธรรม และเป็นความความพินาศของบาปทั้งปวง 

นอกจากนี้ ยังเป็นวันประสูติของหนุมาน  และบูชาพระยมอีกด้วย เชื่อว่าการบูชาพระยมวันนี้จะสิ้นบาปเคราะห์ทั้งปวง หรือ มีแสงสว่างนำทางเมื่อต้องสู่ยมโลก

วันลักษมีบูชา

@ลักษมีบูชา  ซึ่งตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน11 ตามปฏิทินฮินดู ถือเป็นวันสำคัญสุด เพราะดีปาวลีคือวันสำคัญของพระนางที่สำคัญมากในรอบปี และได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ชาวบ้านและคนทำมาหากินทั่วๆไป การตั้งแถวหรือแนวตะเกียงดินเผาในตอนเย็น ซึ่งปีนี้คือเย็นวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2568 โดยจะมีการ บูชาด้วย “ดอกบัวแดง” ที่มีราคาสูงมากในวันนี้ และอาจจะหาซื้อยากด้วย ถ้าไม่สั่งล่วงหน้าไว้ก่อน 

วันกาลีบูชา

เปลวไฟบนตะเกียงดินเผาจะส่องสว่างขับไล่ความมืดแห่งราตรีกาล อุปมาเป็นการเชื้อเชิญพระเทวีเข้ามา “ประทับฝ่าพระบาท” ในบ้าน เพื่อจะได้โชคดี  มีเงินทอง และความมั่งคั่ง นอกจากแสงจากตะเกียงแล้ว บางบ้านหรืองานฉลอง “ลักษมีเฟสติวัล” จะนิยมจุดพลุต่างๆ เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย ตกแต่งบ้านให้สวยงามด้วย      รังโกลี (Rangoli) ซึ่งเป็นศิลปะการวาดลวดลายด้วยผงสี และกลีบดอกไม้ บนพื้นบ้านเพื่อนต้อนรับผู้มาเยือน นอกจากนี้ ที่เบงกอลและอัสสัมจะมีพิธี “กาลีบูชา”  สวดมนต์บูชาในตอนกลางคืน เพิ่มด้วย

วันโควรรธนะบูชา : พระกฤษณะวัยเด็ก ใช้นิ้วชี้ยกภูเขาบังฝน

@ วันโควรรธนะบูชา เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ของปฏิทินฮินดู แสดงถึงความเก่งกาจของพระกฤษณะในวัยเด็กที่มีพละกำลังมหาศาลเหนือพระอินทร์ ราชาของเทวดา  พระกฤษณะ ถูกเปลี่ยนตัวกับลูกสาวนางยโสธา กษัตริย์วาสุเทพ พ่อของกฤษณะ ฝากลูกไว้กับเพื่อน คือ นันทะ สามีของนางยโสธา เพื่อวันข้างหน้ากฤษณะจะได้สังหารอสูรกังสะ คืนอิสรภาพแก่บิดาและมารดาที่ถูกจองจำในคุก (จำได้กันหรือเปล่าว่า Nai Mu เคยเขียนถึงเรื่องนี้ไปแล้ว)

พระกฤษณะในวัยเด็ก เติบโตกับชุมชนคนเลี้ยงโค ชาวบ้านเชื่อว่าบูชาพระอินทร์จะทำให้ชุมชนมีความสุข ความเจริญ พระอินทร์จะอวยพรให้แม่โคมีน้ำนมในปริมาณมาก และฝนตกต้องตามฤดูกาล พระกฤษณะในวัยเด็กช่างคิด ช่างตั้งคำถาม จึงถามว่า การที่เหล่าโคได้กินยอดหญ้า เล็มน้ำค้าง มีร่างกายสมบูรณ์ ภูเขาโควรรธนะต่างหากที่มีบุญคุณทำให้แม่โคผลิตน้ำนมได้มาก หาใช่พระอินทร์ !? เมื่อชาวบ้านเลิกบูชาพระอินทร์ พระอินทร์ก็ดลบันดาลให้ฝนตกไม่หยุด พระกฤษณะในวัยเด็ก จึงใช้นิ้วเดียวยกภูเขาโควรรธนะทั้งลูก บังฝนให้ชาวบ้าน นาน 7 วัน 7 คืน พระอินทร์เล็งด้วยตาทิพย์  จึงรู้ว่า ในอนาคตเด็กคนนี้จะมีนามว่า “พระกฤษณะ” และเป็นร่างของนารายณ์อวตาร ดังนั้น จึงหยุดฝนทันที และลงมาขออภัยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

วันวันยมทวีตียา  : พระยมไปเยี่ยมน้องสาว

@ วันยมทวีตียา  หรือ ภาย ดูซ  วันนี้จะตรงกับวันขึ้น 2 ค่ำเดือน 12 ตามปฏิทินฮินดู นับเป็นเหตุการณ์สุดท้ายของเทศกาลนี้ เชื่อกันว่า พระยม เทพเจ้าแห่งความตาย มาเยี่ยมน้องสาว ชื่อ นางยามี หรือ ยมุนา ซึ่งวันนี้เปรียบเสมือนวันสร้างสัมพันธ์ของพี่-น้อง โดยพี่ชาย-น้องชายจะไปรับประทานอาหารที่บ้านน้องสาว-พี่สาว พร้อมมอบของขวัญ ฝ่ายพี่สาว-น้องสาวก็จะเจิมดิลกที่หน้าผาก เพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ ยังเป็นวันบูชาพระวิศวกรรม อีกด้วย

Nai Muถึงบอกไงว่า ดีปาวลี ไม่ใช่แค่วันสำคัญ หากแต่เป็นเทศกาลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมและการบูชาต่างๆ อันหลากหลาย แต่ปัจจุบันได้มีการทอนลง เหลือแค่วันแรม 13 ค่ำ และวันแรม 15 ค่ำ เดือนการติก ซึ่งก็อยู่ในช่วงราวๆ เดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน โดยมีการบูชาเทพที่เกี่ยวข้องคือ พระลักษมี, พระคเณศ, พระกุเบรา, หนุมาน, พาลี, พระยม, พระกาลี, พระสรัสวดี , พระกฤษณะ เป็นต้น

และไม่เฉพาะในศาสนาฮินดูเท่านั้น ที่ให้ความสำคัญกับวันนี้ ในศาสนาอื่นๆ เช่นพุทธในประเทศเนปาลก็จะถวายประทีปแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า , ศาสนาเชน วันดีปาวลี คือ วันตรัสรู้ของพระศาสดา “มหาวีระ” ศาสนาเก่าแก่ ในอินเดียโบราณ ยุคเดียวกับพุทธศาสนา ของสมณโคดม ประวัติ – คำสอนหลายอย่างใกล้เคียงกัน หากแต่มหาวีระ เป็นเจ้าลัทธิ “นุ่งลมห่มฟ้า” เพราะไม่ติดยึดในวัตถุ ปัจจุบัน มี 2 นิกายคือ เศวตัมพร  (นุ่งห่มขาว) และ ทิคัมพร (นุ่งลมห่มฟ้า อย่างโบราณ) วันนี้จะมีการจุดประทีปบูชาเจ้าศาสดาเช่นกัน

นอกจากนี้ ศานาซิกข์ เรียกวันนี้ว่า บันดี ชอร์ ดิวาส (Bandi Chhor Divas)  ฉลองอิสรภาพของคุรุโควินท์ สิงห์ (คุรุองค์ที่ 6) และเจ้าชายอีก 52 พระองค์ จากการจองจำโดยจักรพรรดิ จาฮังกีร์ ในปี ค.ศ. 1619. มีการเฉลิมฉลองด้วยการจุดไฟ จุดพลุ เป็นชัยชนะเหนือความมืดมิด 

เห็นหรือยังว่า เทศกาล ดีปาวลี มีความสำคัญกับหลายศาสนา ด้วยจุดยืน ใช้แสงไฟแห่งความสว่างไสวขับไล่ความมืดมิดนั่นเอง 

เรื่อง : Nai Mu

Exit mobile version