จิตอาสา ทำดีด้วยใจ ทำรัฐประหารโค่น “พระอินทร์”(เดิม) ! 

ผู้ปกครองสวรรค์วิมานชั้นดาวดึงส์ 

ใครที่ยังอารมณ์ค้างจากเรื่องราวพระอินทร์ในครั้งที่แล้วล้อมวงเข้ามาได้เลย เพราะวันนี้ Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายใน God’s City จากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City  จะมาเล่าขานต่อความให้จบจะได้ไม่ค้างคา แต่อาจสะใจ ที่จะได้เห็นเหล่าจิตอาสา ทำดีด้วยใจ ทำรัฐประหารโค่น “พระอินทร์”(เดิม) ! ลงไป กลายเป็น พระอินทร์ผู้ครองวิมานชั้นดาวดึงส์ เฉกเช่นในตำนานที่เล่าขานมาถึงปัจจุบัน

“พระอินทร์” นับว่าเป็นเทพเทวดาที่ไม่ได้ไกลตัวจากคนไทยนัก บางวัดอาจจะการตั้งรูปเคารพให้ผู้ศรัทธาได้สักการะ, บางวัดมีพระอินทร์ปรากฏในรูปจิตรกรรมฝาผนัง ทั้งยังเป็น LOGO ของ “กรุงเทพมหานคร” เมืองหลวงของไทยเรา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คู่กับห้างอัมรินทร์พลาซา มาร่วม 40 ปี จนวันนี้ได้รับการรีโนเวตเป็น “เกษรอัม   รินทร์  และพระอินทร์ยังเป็นเทวดาของคนทำมาค้าขายในย่าน อินทรา ประตูน้ำ ซึ่งน่าจะรวมถึงโรงแรมอินทรา รีเจนท์ อีกด้วย

ตาม Nai Mu มาต่อจากความเดิมตอนที่แล้วกัน …วีรกรรมของพระอินทร์เก่า คือกินเหล้าครั้งละ 3 สระน้ำ เสพสุข มั่วผู้หญิงแบบทั่วถึงไปทุกชั้นฟ้า นอกจากเมียหลักแล้ว ยังมีนางฟ้า 92 องค์  และนางบำเรออีก 24 ล้านองค์ ที่เป็นบาทบริจาริกาในฮาเร็ม! มีศึกหนักรายล้อมรอบด้านจนบัลลังก์โยกคลอน 

แต่ในโลกมนุษย์นั้น เกิด“เลือดใหม่” กลุ่มหนึ่ง เป็นชาวบ้าน สามัญชนคนธรรมดา ไม่ได้เป็นกษัตริย์หากแต่เป็น “จิตอาสา ทำดีด้วยใจ”  จนได้มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (สวรรค์ชั้นที่2)  

โดยเรื่องราวของ มนุษย์ที่ชื่อ “มาฆะ” ที่ดำเนินกิจการสาธารณกุศล ไม่หวังสิ่งตอบแทนอะไรๆ จากผู้ใด สร้างและทำที่ทางให้สะอาดสะอ้าน เป็นที่หย่อนใจของผู้เดินทาง  เมื่อมีใครมาถามว่า “ท่านจะทำทางไปไหน ?” มาฆะในวัยหนุ่มก็ตอบแบบไม่ลังเลว่า “ทำทางไปสวรรค์”  ผู้ได้ฟังคำตอบก็ยินดีอยากช่วยเหลือ ไปๆ มาๆ รวมสมัครพรรคพวกได้ถึง 32 คน รวมกับมาฆะ เป็น 33 คนพอดี พร้อมลงมือทำงานต่อเนื่อง จนชาวบ้านกล่าวถึงอยู่เนืองๆ ทำคนคิดอิจฉา ตามประสา “ทำดีทำเด่นก็มีภัย !” 

พวกผู้มีอำนาจก็ไปเพ็ดทูลเป่าหูให้พระราชาขุ่นเคือง !ว่าคนพวกนี้ กำลังคิดฉายแสงแข่งพระบารมี ปล่อยไว้นานจะเป็นภัย จึงมีบัญชาให้จับและประหารทั้ง 33 คนในข้อหากบฏในราชอาณาจักร โดยให้ช้างเหยียบ แต่ช้างกลับก็ไม่ทำอันตราย แถมยังชูงวงทำความเคารพคนเหล่านี้เสียอีก  

ราชาจึงเอ๊ะ! ถามว่ามีเวทมนต์อันใด ฝ่ายมาฆะทูลว่า “พวกหม่อมฉันเพียงตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดีเท่านั้นเอง”  ราชาก็ดีใจ มอบช้างเชือกนั้นให้เป็นรางวัล! 

เมื่อทั้ง 33 คนและช้าง 1 เชือกเมื่อตายก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (สวรรค์ชั้นที่2) ภารกิจแรกของคนกลุ่มนี้ คือ “ทำรัฐประหาร” ! กับรัฐเทวาของพระอินทร์องค์เดิมที่ชื่อ “ท้าวสมพร” ยกไพร่พลเข้าโรมรัน และโยนท้าวสมพรและมวลหมู่ลงจากสวรรค์ไปเกิดใต้ตีนเขาหิมาลัย(เมืองบาดาล) ชื่อ “ท้าวเวปจิตติ” (ที่สื่อความหมายว่าผู้มีจิตกระสับกระส่าย) ภพที่ว่านี้ สืบเนื่องจากบุญเก่าของท้าวสมพรยังมีอยู่ จึงไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ใต้บาดาล  เป็นวิมานทิพย์เหมือนครั้งที่ยังอยู่ในโลกสวรรค์ไม่มีผิด มีสิ่งเดียวที่เมืองนี้ไม่มีคือ “ดอกปาริชาติ” คราวใดที่ดอกไม้ชนิดหนึ่งซึ่งลม้ายคล้ายดอกปาริชาติเบ่งบาน บ้างว่าเป็นดอกแคฝอย , บ้างก็ว่าเป็นดอกทองกวาว ท้าวเวปจิตติหวนคิดถึงความสุขบนสวรรค์ จึงยกทัพขึ้นไปสู้หวังจะชิงเมือง ชิงตำแหน่งคืน แต่ก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่ากลับลงมาทุกครั้ง 

พระอินทร์ในยุคมาฆะมาณพ เป็นพุทธมามกะ มีความเกี่ยวพันกับพุทธประวัติหลายตอน ที่รู้จักกันดี เช่น พระอินทร์ดีดพิณสามสายเพื่อเตือนสติให้เจ้าชายสิทธัตถะเลิกบำเพ็ญทุกขกิริยา หันมาเดินทางสายกลาง, ตอนพระพุทธเจ้าโปรดพุทธมารดา (สิริมหามายาเทพบุตร) บนสวรรค์ชั้นดุสิต ในพรรษาที่ 7 หลังการตรัสรู้  ทรงเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้งนั้น มวลหมู่เทพเทวดาทั้งหลายได้มาร่วมสดับฟังธรรมของพระองค์ท่าน เมื่อครบกำหนดในวันออกพรรษาที่พระองค์จะเสด็จกลับเมืองมนุษย์  เหล่าเทพยดาทั้งหลายแต่งขบวนมาส่งพระองค์  โดยพระอินทร์เนรมิตบันไดทอง ด้านขวาสำหรับทวยเทพ  บันไดเงิน ด้านซ้ายสำหรับพระพรหม  และบันไดแก้วอยู่ระหว่างกลางสำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมู่เทพที่ตามส่งเสด็จ เบื้องซ้าย ท้าวมหาพรหม ถือฉัตรกั้นถวาย, พระอินทร์ อุ้มบาตรนำเสด็จ, ปัญจสิงขรคนธรรพ์เทพบุตร ถือพิณบรรเลง และ มาตุลีเทพบุตร อุ้มพานดอกไม้ทิพย์โปรยปรายนำทางเสด็จพุทธดำเนิน และวันนั้น พระพุทธเจ้าได้แสดงปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสาม สวรรค์, มนุษย์ และสัตว์นรก ต่างสามารถเห็นเหตุการณ์นี้ 

พระอินทร์ ครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  มีช้างพาหนะชื่อ เอราวัณมี 3 เศียร มีมเหสี 4 พระองค์ คือ นางสุนันทา, นางสุจิตรา, นางสุธรรมา และนางสุชาดา เมียหลัก 4 องค์ของพระอินทร์นี้ เคยใช้ชีวิตร่วมกันในชาติภพเดียวกับ มาฆะมาณพ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมีย 3 คนแรกคือ สุธรรมา , สุจิตรา ,สุนันทา ได้ร่วมบุญกุศลสร้างศาลากัน เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นเมียของพระอินทร์ เป็นเจ้าของสวนทิพย์อันรื่นรมย์  ส่วนเมียคนสุดท้าย ชื่อสุชาดา ตอนมีชีวิต เอาแต่กิน-นอน ไม่เคยคิดทำการกุศลแต่ประการใด เพราะฉะนั้น เมื่อเมีย 3 คนแรกขึ้นเสวยสุขบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์ก็คิดถึงเมียอีกคน สืบค้น และเข้าถึงด้วยตาทิพย์ “สุชาดา เมียรัก เจ้าอยู่แห่งใด?” 

เมื่อสุชาดาตายแล้วไปเกิดเป็นนกกระยาง พระอินทร์ก็แปลงกายไปเจรจา พาขึ้นไปบนสวรรค์ เล่าเรื่องราวเมื่อครั้งยังเป็นครอบครัวเดียวกับมาฆะมาณพให้ฟัง ฝ่ายเมียทั้งสามเห็นสุชาดาในร่างนกกระยางก็หัวเราะขบขัน ฝ่ายพระอินทร์ก็บอกกับนางว่า ถ้าอยากมาอยู่บนสวรรค์ด้วยกัน ต้องห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จากนั้น นางก็ไม่กินปลาเป็นตามสัญชาติญาณเดิม กินแต่ปลาตาย พระอินทร์ลงทุนแปลงเป็นปลาตายพิสูจน์ใจนางนกกระยางหลายครั้ง เมื่อนางจะจิกกิน ปลาก็กลับมีชีวิต จำเป็นต้องปล่อยไป ที่ไหนจะมีปลายตายให้กินทุกวัน นางนกกระยางก็ผ่ายผอม ขาดสารอาหาร จนตายไปในที่สุด 

แต่ใช่ว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ นางไปเกิดเป็นลูกสาวของช่างปั้นหม้อ พระอินทร์ก็แปลงเป็นคนร้องตะโกน หาสาวที่เคร่งครัดในศีลธรรม แล้วจะมอบฟักทองให้ ! นางจึงได้ฟักทองลูกนี้ ใช้ประโยชน์เพื่อบำเพ็ญบุญกุศล จนสิ้นบุญ

ชาติสุดท้าย  นางไปเกิดเป็นลูกสาวคนสวยของท้าวเวปจิตติ จอมอสูรที่เคยเป็นพระอินทร์มาก่อน ถึงคราวที่จะให้ลูกสาวมีคู่เสียที จึงประกาศชักชวนอสูรหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวทั้งหลายมาชุมนุมกัน เพื่อให้ลูกสาวได้เลือกคู่ นางไม่มองใครเลย แต่กลับสวมมาลัย เลือก อสูรแก่ ! ที่นางเห็นกายทิพย์ว่า หล่อ รัศมีโชติช่วง เหลือเกิน ! พวกอสูรที่มาต่างเยาะเย้ย ท้าวเวปจิตติโกรธลูกสาวมาก แต่ยังไม่ทันจะให้ใครได้ตั้งตัว อสูรเฒ่าก็ประกาศ เราคือ “ท้าวสักกะ” ว่าแล้วก็จับมือลูกสาวอสูรเหาะลอยไปครองคู่บนวิมานชั้นดาวดึงส์ 

ซึ่งชื่ออื่นๆ ของพระอินทร์ที่คุ้นเคยกัน เช่น ท้าวสักกะเทวราช, องค์อมรินทราธิราช, ท้าวสหัสนัยน์, ท้าวโกสีย์ ฯลฯ

สำหรับสัญลักษณ์ของหน่วยงาน “กรุงเทพมหานคร” ก็เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ และใช้ “สีเขียว” อีกต่างหาก !  

และแล้ว Nai Mu ก็ขอปิดฉากจบเรื่องพระอินทร์แต่เพียงนี้ ส่วนครั้งต่อไปจะเป็นเรื่องขอเทพเทวาองค์ไหนค่อยมาว่ากัน 

เรื่อง :   Nai Mu