เยี่ยมวิมานเทวดา “สมเด็จพญายมราช”  วัดชัยสิทธาวาส   

เทพเจ้าแห่งนรก

ปกติผู้คนจะคุ้นเคยกับ “พญายมราช” เทพเจ้าดาร์ก ในฐานะเจ้าแห่งนรก  และสำหรับสายมูและไม่มูทั้งหลายที่เคารพเทพเจ้าแห่งนรกองค์นี้ Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายใน God’s City จากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City มาส่งข่าวเชิญชวนเยี่ยมวิมานเทวดา “สมเด็จพญายมราช”  วัดชัยสิทธาวาส  ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 โดยทางวัดชัยสิทธาวาส  อ.สามโคก ปทุมธานี จะทำการฉลองวิมานองค์สมเด็จพญายมราช (ปางเทวดา) พร้อมมีมหรสพสมโภช ระหว่างวันที่ 9-11 พฤษภาคม นี้อีกด้วย 

ที่สำคัญพลาดไม่ได้กับเรื่องเล่าเจ้าเทพเจ้าแห่งนรก พญายมราช จาก  Nai Mu รับรองว่าสนุกและได้ความรู้เช่นเคย

สมเด็จพญายมราช สีทองอร่าม งดงามจริง ! 

ก่อนหน้านี้ คนที่มาวัดแห่งนี้จะบูชาเจ้าปู่ในภาคเทพเจ้าแห่งนรก ณ วิมานเสด็จเจ้าปู่ยมราช หลังเก่า  โดยวิมานเสด็จเจ้าปู่ยมราช หลังเก่าในวัดแห่งนี้ ถูกโยกย้ายมาจากถนนติวานนท์ มีความเป็นมาแปลกกว่าใคร! และ “ปู่พญายม” ท่านนี้ ไม่ใช่พระยมตามความเชื่ออย่างอินเดียและตามคติในพุทธศาสนา  แต่เป็นคนไทย ซึ่งมีชีวิตในสมัยรัชกาลที่ 5  ตามเรื่องบอกเล่าทางวิญญาณ ! “ท่านยม” ผู้นี้อ้างว่า เคยเป็นโหรในสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และร่วมอยู่ในขบวนเรือพระที่นั่งด้วย มีแผ่นป้ายบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่า 

“ก่อนที่จะตั้งศาลเสด็จเจ้าปู่พญายม เมื่อกลางปี 2514 เสด็จเจ้าปู่พญายมได้เข้าประทับทรงในร่างของ จ.ส.อ. บุญสม แย้มไสว  ซึ่งเป็นข้าราชการกองคลังแสง  กรมสรรพาวุธทหารบก นายสมศรี บุญแพ ได้สอบประวัติความเป็นมาของเสด็จเจ้าปู่พญายม ได้ความว่า เสด็จเจ้าปู่พญายม  เป็นโหรของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (พระนางเรือล่ม) ได้ตามเสด็จประพาสทางเรือมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา  เรือประทับพระที่นั่งเกิดอับปางกลางแม่น้ำเจ้าพระยา  ร่างของเสด็จเจ้าปู่พญายม ได้เกาะซุงล่องตามน้ำกับลิง 1 ตัว และลอยมาติดที่ต้นไทรข้างแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณที่เป็นกองคลังแสง  กองสรรพาวุธ ทหารบกในปัจจุบัน และเสียชีวิตที่บริเวณนั้น ในเวลาต่อมา นายสมศรี  บุญแพ ได้สอบถามความต้องการของเสด็จเจ้าปู่พญายม ท่านบอกว่า อยากได้ศาลเพื่อที่จะได้อยู่คุ้มครองปกป้องลูกๆ หลานๆ ในบริเวณนี้  พ.อ. ปรีชา ถาวรนาถ จึงได้เสนอหัวหน้ากองคลังแสง กรมสรรพาวุธทหารบก ในขณะนั้น คือ พ.อ. ปลื้ม จุฑพงษ์ ( เพจกองคลังแสง สรรพาวุธ สะกดนามสกุลว่า จูฑะพงษ์ ) เพื่อขอจัดตั้งศาลเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2519 ซึ่งตั้งอยู่ติดถนนติวานนท์ หน้ากองคลังแสงทหารบก  เป็นศาลา 1.2 X 1.8 เมตร ทำด้วยไม้และทำพิธีอัญเชิญเสด็จเจ้าปู่พญายม ประทับบนศาลา เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.  2519 ก่อนหน้าที่อัญเชิญเสด็จเจ้าปู่พญายม ได้สั่งให้นิมนต์เกจิอาจารย์ ในละแวกนั้น จำนวน 9 วัดมาทำพิธีทางศาสนาด้วย ผู้ทำพิธีอัญเชิญประทับคือ  พ.อ. ปลื้ม จุฑพงษ์  และเสด็จเจ้าปู่พญายมบอกให้ ไปเอาธูปที่ศาลของพระนางเจ้าสุนันทา (พระนางเรือล่ม) มา 9 ดอก เอามาปักไว้ที่หน้าศาล และให้ใช้ชื่อศาลแห่งนี้ว่า เสด็จเจ้าปู่พญายม

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2540 ได้เกิดอุบัติเหตุรถชนศาลเสด็จปู่เจ้าพญายม ดังนั้นกำลังพลและครอบครัวกองคลังแสง กรมสรรพาวุธ ได้ก่อสร้างทดแทนและย้ายศาลเข้ามาในพื้นที่ของหน่วย  โดยการนำของ พ.อ. บำเรอ ดียวดยิ่ง  ผู้อำนวยการกองคลังแสง กรมสรรพาวุธ  ในขณะนั้น โดยใช้พื้นที่ 68 ตารางเมตร เริ่มสร้างเมื่อ 24 มีนาคม  2540 เสร็จสมบูรณ์เมื่อ 14 กรกฎาคม 2540 ใช้เวลาในการสร้าง 112 วัน ซึ่งใช้เงินจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาค ทั้งสิ้น 255,084 บาท และได้ใช้แรงงานข้าราชการและลูกจ้าง กองคลังแสง กรมสรรพาวุธ ทหารบกดำเนินการ หลังศาลาสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ทำพิธีอัญเชิญองค์เสด็จเจ้าปู่พญายม และองค์เทพทั้งหลายประทับบนศาลใหม่นี้ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 เวลา 10.00 น. พันโท สิริชัย เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก เป็นประธานพิธี”

คาถาบูชา เสด็จปู่พญายม (นะโม 3 จบ)  

ปะโตเมตัง ปะระชีวินัง สุขะโต จุตติ 

จิตะเมตะ นิพพานัง สุขะโต จุตติ  

ทั้งหมดทั้งมวลจากข้อความข้างต้นนี่เป็นเรื่องเล่าของเจ้าปู่ยมราช จากติวานนท์ ถึงวัดชัยสิทธาวาส  แห่งนี้ ! 

ปัจจุบัน ในวัดหลายแห่งนิยมตั้งรูป “พระยม” เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้คนนึกถึงบาป บุญ คุณ โทษ วิบากรรมทั้งหลายที่ทำในโลกมนุษย์ และต้องไปรับคำพิพากษา จากพญายม ! ดังนั้น ท่านจึงเป็นเทวดาที่มนุษย์เกรงกลัวมากที่สุด  ด้วยเรื่องราวที่เล่าขานกันสืบมา

มารู้จักกับเรื่องราว “พระยม” กัน! 

พระยายมราช คือ “ตำแหน่ง” ของเทพเจ้าแห่งนรกและความตาย! มีนามอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ยมราช, พระกาฬ,  มัจจุราช, พระธรรมราช, มฤตยู ฯลฯ คนจีนเรียก เหงี่ยมล่ออ๋อง , อิสลามเรียก ท้าวอิสราอิล , เทพปกรณัมกรีก คือ เฮดีส และเทพปกรณัมโรมัน คือ ออร์กัส ญี่ปุ่น ทิเบต ก็มี เป็นเทพที่ทุกชาติทุกภาษาให้ความสนใจ

ยม (ผู้ยับยั้งการประกอบกรรมชั่ว) ในยุคแรก ไม่มีบทบาทในการพิพากษาชีวิตหลังการตายของมนุษย์ ! แต่เป็นมนุษย์คนแรกในโลกที่ตายไป และเดินทางไปสู่ยมโลกก่อน ด้วยประสบการณ์นี้ เวลาต่อมาท่านยมจึงเป็นผู้นำทางมนุษย์ทั้งหลายที่ตายในลำดับต่อๆมาไปไปสู่ดินแดนแห่งความตาย หรือสวรรค์ 

พระยมนำวิญญาณเพื่อข้าม “แม่น้ำปุตตะ” ที่มีไว้สำหรับผู้ที่มีลูกชายไว้สืบสกุลแล้วถึงจะข้ามแม่น้ำนี้ได้ ถ้าไม่มีลูกชายก็ไม่มีสิทธิ์  ดังนั้น ตามประเพณีเดิมของพราหมณ์-ฮินดู ว่าด้วยระบบอาศรม 4 กล่าวถึงวงจรชีวิต 4 ระยะ อันได้แก่ พรหมจรรยะ (ผู้ร่ำเรียน ถึงอายุ 25 ปี), คฤหัสถะ (ครองเรือน ระหว่างอายุ 25-50 ปี) , วานปรัสถะ (ผู้ออกจาริก ระหว่างอายุ 50-75 ปี) และสันยาสะ (ละทิ้งทางโลก สำหรับผู้มีอายุ 75 ปีขึ้นไป) ดังนั้น ชายชาวฮินดูจึงต้องมีลูกชายก่อนวัยละทิ้งทางโลก เพื่อจะได้ข้ามแม่น้ำสายนี้หลังความตาย ! 

ต่อมา พระยมไม่ได้มีหน้าที่แค่นำทางคนตายไปสู่สวรรค์อีกต่อไป แต่ถูกปรับบทบาทให้เป็นเทพที่นำวิญญาณคนตายไปชดใช้หนี้กรรมในนรก โดยพระยม มีหน้าที่เก็บรักษาบันทึกเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของมนุษย์ เมื่อผู้นั้นถึงกำหนดตาย จะส่งยมทูตไปรับวิญญาณมาชำระโทษ ! 

พระยมมีน้องสาวฝาแฝดนางหนึ่งชื่อ นางยมี หรือ ยมุนา (แม่น้ำยมุนา)  บางแห่งว่า เป็นเมียพระยมด้วย โดยนางจะดูแลผู้ตายที่เป็นหญิง ! ขณะที่พระยม ดูแลผู้ตายที่เป็นชาย 

ตำนานหนึ่งว่า พระยม เคยเกิดเป็นกษัตริย์ครองกรุงไพศาลี  คราวหนึ่ง เมืองนี้ได้กลายเป็นสมรภูมิรบพุ่งกันดุเดือด และกษัตริย์ผู้นี้ ได้อธิษฐานกลางสนามรบว่า ขอให้ตนเองไปเกิดเป็นเจ้านรก พร้อมแม่ทัพทั้ง 18 นาย และทหารอีก 8 หมื่นคน หลังความตายคำอธิษฐานเป็นจริง โดยทุกคนไปทำหน้าที่ต่างๆกันไปในนรกทั้งตุลาการ, ผู้คุม ,เพชฌฆาต ฯลฯ 

เหตุที่พระยมเคยก่อกรรม เข่นฆ่าผู้คนในสนามรบ ก็หาพ้นบาปกรรมที่ก่อไว้ไม่ “กฎแห่งกรรม ยุติธรรมเสมอ” ชีวิตพระยมจึงถูกลิขิตให้ต้องใช้กรรม ! เฉกเช่นเดียวกับคนอื่น มีปีศาจตนหนึ่งจะทำหน้าที่ “กรอกน้ำทองแดง” ร้อนๆ สู่ปากพระยม ทุกๆ 24 ชั่วโมง จนกว่าจะสิ้นกรรม ! 

สัปดาห์หน้า Nai Mu จะพาไปรู้จักเรื่องราว และ  “พระยม” ในอีกหลายวัด ! ติดตามกันนะ

เรื่อง : Nai Mu