ประมุขของเหล่าเทวดา
แค่เห็นโพสต์ชื่อเรื่อง “พระอินทร์” ผู้มี “กี” นับพัน และ ลึงค์แกะ! ที่ Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายใน God’s City จากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City จั่วหัวไว้ก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมล่ะ ช้าอยู่ใยตาม Nai Mu กันมาเลย
ครั้งนี้ Nai Mu จะพาผู้อ่านไปพบกับประมุขของเหล่าเทวดาพระองค์นี้ ซึ่งเริ่มจากเป็นเทวดาในชั้นบรรยากาศยุคแรกสมัยพระเวท ต่อมาถูกลดบทบาทลงเมื่อมหาเทพทั้งสาม คือ พระศิวะ, พระนารายณ์ และพระพรหม ได้เข้ามามีบทบาท ทำให้เทพและเทวีชั้นรองหลายพระองค์ เช่น พระอินทร์ , พระธรณี ฯลฯ ถูกพุทธศาสนาช้อนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในศาสนาและวรรณกรรมของตน
เดิมเทพเจ้ารุ่นแรกของพวกอารยันที่ปรากฏในคัมภีร์พระเวท มีทั้งสิ้น 33 องค์ มีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกันไป วรรณกรรมในยุคพระเวทมีบทสดุดีพระอินทร์ถึง 250 บท คิดเป็น 1 ใน 4 ของบทสดุดีทั้งปวงในฤคเวท


พระอินทร์เป็นเทพที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ จัดเป็น “นักรบเจ้าสำราญ” กล่าวกันว่า มีรูปร่างใหญ่โตมาก มีวัชระ หรือสายฟ้า เป็นอาวุธหลัก อาวุธอื่นๆ อาทิ ลูกธนู คันศร และตะขอ เป็นต้น โปรดการดื่มสุรา เพราะทำให้จิตใจหาญกล้าหึกเหิม เวลาออกรบสู้กับอสูรในแต่ละครั้ง ต้องกินเหล้า ปริมาณมากถึง 3 สระใหญ่ มีเครื่องดื่มและอาหารอื่นๆ ที่โปรดปราน เช่น นมเจือน้ำผึ้ง, อาหารประเภทเนื้อ เช่น เนื้อโค , เนื้อควาย และเนื้อม้า รวมถึงธัญพืชต่างๆ ยุคแรกพูดอย่างรวมๆ ว่า อยู่บนสวรรค์ แต่ไม่ได้ระบุพิกัดว่าอยู่แห่งใด ส่วนชื่อ “เมืองอมรวดี” นั้นมาทีหลัง
พระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ราชาของทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นสัญลักษณ์แห่งฝนที่จะอำนวยความชุ่มฉ่ำแก่พื้นโลก พระอินทร์ เป็นลูกของ ทเยาส์ (ฟ้า) กับ ปฤถวี (ดิน) บางแห่งว่า เป็นลูกของพระกัศยปเทพบิดร และนางอทิติ และยังมีอื่นๆ อีก โดยมีเมียชื่อ อินทราณี หรือ ศจี ส่วนพระอัคนีคือ พี่ชายของพระอินทร์

“พระอินทร์” คือ ตำแหน่ง ! ไม่ใช่พระนามของเทวดาพระองค์นี้แต่อย่างไร !
วีรกรรมของพระอินทร์ที่ถูกยกย่องและกล่าวถึง เช่น การสังหารวฤตาสูร ซึ่งงูใหญ่ตัวนี้กั้นน้ำสู่โลกจนเกิดความแห้งแล้ง , สังหารอสูรชื่อปาณี ที่ขโมยฝูงโคของฤษีไป ฯลฯ
ยุคที่พระอินทร์เป็นเทพเจ้าองค์สำคัญ และเจริญรุ่งเรืองที่สุด อยู่ในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช พัฒนารูปลักษณ์จากนามธรรมสู่รูปธรรม จนเริ่มมีร่างกาย ผม เครา เล็บสีทอง จากร่างที่เป็นสีทอง เป็นสีแดง และสีเขียว

คนที่จะเป็น“พระอินทร์” ในสมัยโบราณ สงวนลิขสิทธิ์ไว้สำหรับกษัตริย์ที่เคยประกอบพิธีอัศวเมธ หรือการฆ่าม้าบูชายัญ ครบ 100 ครั้ง
สมัยแรก พิธีอัศวเมธเป็นเพียงการขอลูกของราชาที่มีลูกยากเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความเชื่อเรื่องการล้างบาป เนื่องจากราชานักรบมักล้างผลาญชีวิตฝ่ายตรงข้ามไปเป็นจำนวนมาก และต่อมาการล้างบาปนี้ ถูกเปลี่ยนเป้าหมายเป็นความชอบธรรมในการแผ่อำนาจ ล่าเมืองขึ้น เพื่อจะได้เป็น “ราชาหนึ่งเดียว” ในโลก

พิธีอัศวเมธ จะเริ่มจากการปล่อยม้าให้วิ่งไปทั่วแว่นแคว้นต่างๆ โดยมีกองทัพติดตามไปเป็นเวลาหนึ่งปี ม้าวิ่งเข้าเมืองไหน เมืองนั้นต้องสยบ เลี้ยงดูกองทัพเหล่าทหารนายกองและม้าเป็นอย่างดี พร้อมรับปากจะส่งเครื่องบรรณาการ จากนั้นก็ปล่อยม้าวิ่งไปเมืองอื่นต่อไป ถ้าเมืองไหนไม่ยอมสวามิภักดิ์หรือยอมจำนน ก็ต้องรบพุ่ง ชิงเอาเมือง ! เมื่อม้าวิ่งครบหนึ่งปี กลับเมืองแล้ว พระราชาจะจัดงานสมโภชใหญ่ ทำพิธีฆ่าม้าบูชายัญ ! ม้าตาย คนตาย ส่วนราชาได้เป็นใหญ่เหนืออาณาจักรทั้งปวง แนวความคิด ชิงบ้าน ชิงเมือง ผลาญชีวิต ล้างความสงบสุข เป็นกิจของ “ราชาทรราชย์” โดยแท้ !
เมื่อศาสนาฮินดูเข้ามามีบทบาท และสถาปนาเทพองค์ใหม่ พระอินทร์ เทวดาของอารยันก็ตกสวรรค์ทันที ! มีนิทานที่เล่าถึงความเลวร้ายของพระอินทร์ไว้มาก เช่น ขี้เหล้าเมามาย , แย่งชิงเมียคนอื่นมาเป็นของตัว

พระอินทร์ลอบเข้าไปทำชู้กับเมียชาวบ้านหลายคน “นางอหลยา” เป็นตัวอย่าง
พระพรหมสร้าง “นางอหลยา” ด้วยเวทมนต์ นางเป็นผู้หญิงที่มีความสวยเป็นเลิศ ชายทุกคนต่างหมายปองในตัวนาง พระพรหมตั้งเงื่อนไขว่าจะยกนางให้กับผู้สามารถท่องในสามโลกได้เป็นคนแรก พระอินทร์เห็นความงามแล้วก็ตัดสินใจลงแข่ง และเป็นผู้ชนะ! พระนารทฤาษีนั่งอยู่ในที่ประชุมทักท้วงว่า ความจริงเคยมีผู้เดินทางไปสามโลกมาก่อนพระอินทร์เสียอีก นั่นคือ “ฤาษีโคตมะ” เรื่องนี้พระพรหมเห็นชอบด้วย จึงยกนางให้เป็นเมียของท่านฤษี
แต่พระอินทร์ก็ไม่วายที่จะนึกถึงนางอหลยาอยู่เสมอ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ อยากจะได้นางเป็นเมียอีกสักคนไว้ประดับบารมี
วันหนึ่ง เมื่อส่องโลก เห็นว่า ฤาษีโคตมะไม่อยู่ในอาศรม พระอินทร์จึงแปลงกายเป็นพระโคตมะเข้าสมสู่กับนาง อหลยา จนต่อมา พระฤาษีรู้ความจริงก็กล่าวสาป ให้มี “กี” ผุดขึ้นเต็มตัวพระอินทร์ จึงถูกเรียกว่า “พระสหัสโยนี” เป็นสัญลักษณ์ของโรคที่เกิดจากความสำส่อน ! ทั้งยังให้ “ดอ” ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของเรื่องฉิบหายทั้งปวงหายไป !
ผู้ที่ต่อลึงค์ให้พระอินทร์คือ เทพบิดร โดยนำลึงค์แกะที่คนนำมาถวายต่อให้ลูกชาย ส่วน “อวัยวะเพศหญิง” ที่ผุดขึ้นเต็มตัวก็บั่นทอนอำนาจและความชอบธรรมของพระอินทร์ในเทวสมาคมเป็นอย่างมาก ไม่มีใครแก้ได้ พระอินทร์จึงต้องไปขอขมากับพระฤษีโคตมะ ท่านยักย้ายคำสาปให้ เปลี่ยน“กี” เป็นดวงตานับพัน เรียก “ท้าวสหัสนัยน์” ไว้คอยสอดส่องเรื่องราวพันเหตุการณ์ของโลก

เรื่องเมาเหล้าขาดสติก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
วันหนึ่งพระอินทร์เหาะผ่านลุ่มแม่น้ำคงคา บรรดาฤาษีทั้ง 500 ตนซึ่งบำเพ็ญตบะ สวดมนต์บูชาพระอินทร์อยู่ พระอินทร์ในอาการอ้อแอ้เมามาย ตะโกนถามว่า “ที่สวดมนต์กันอยู่นี้ต้องการสิ่งใดกันรึ” ฤาษีกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ต้องการความสงบ สวัสดี และสันติสุข ขอองค์อินทร์ประทานพรแก่เหล่าข้าพระองค์ผู้เป็นสาวกของพระองค์ด้วย” แล้วบรรดาฤาษีก็ต้องตะลึงกับคำตอบที่พระอินทร์ตะโกนบอกว่า “กูไม่ให้ !” งานนี้ฤาษีเลยตบะแตก กล่าวสาปแช่งให้ฤทธิ์ทั้งปวงของพระอินทร์หายสิ้น ! งานนี้พระอินทร์รู้อยู่เต็มอกว่า คำสาปของผู้มีตบะนั้นแรงกล้า และย่อมเป็นไปตามนั้น แก้ไม่ได้ ! ครั้นเมื่อกลับวิมานก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายผ่ายผอม จิตกระสับกระส่ายด้วยเวรกรรมที่ตัวเองได้ก่อไว้
เมื่อพระอินทร์ถูกบั่นทอนอำนาจและความชอบธรรมในเทวสมาคมด้วยเรื่องเห้ๆ ทั้งผิดและเลว โดยมีตาวิเศษตามเนื้อตัวช่วยโหนกระแสกระพรือข่าว จึงปิดฉากพระอินทร์องค์เก่า เปิดโอกาสให้เทพองค์ใหม่เข้ามาแทนที่ โดยพระอินทร์กลายเป็นเทวดาหมดวาระในฝ่ายพราหมณ์-ฮินดูไปด้วยประการล่ะฉะนี้
แต่ฝ่ายพุทธศาสนาก็ปรับเอาเรื่อง “พระอินทร์ใหม่” ขึ้นทำรัฐประหาร ขับไล่พระอินทร์องค์เก่าจากสวรรค์ไปอยู่ที่ตีนเขาหิมาลัย ซึ่งก็คือเมืองบาดาล …ส่วน เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ในตอนหน้าก็แล้วกัน
เรื่อง: Nai Mu
Leave feedback about this