ตราบใดที่นรกไม่ว่างเว้น เราจะไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ
ไม่มีงานเลี้ยงไหน ที่ไม่มีวันเลิกลา..ในวันนี้ !!! God’s City โดย Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายจากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City จะพาสายมูและไม่มูทุกเพศ ทุกวัยไปร่วมงานวันปิดประตูนรก พร้อมทำความรู้จัก ตี่จั่งอ๊วง พระโพธิสัตว์ผู้โปรดคนตาย
ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา Nai Mu ได้พาไปรู้จักกับกิจกรรมและผู้เกี่ยวข้องที่วนเวียนในเทศกาลผี หลากหลายไม่ว่าจะเป็น ไต้ซือเอี๋ย ในงานเทกระจาด , ตั่วแปะ –หยี่แปะ ยมทูตคู่ขาว-ดำที่มาจากนิทานพื้นบ้าน , ตลอดจนถึงเรื่องที่เกี่ยวพันกับพระสูตร และพระอรหันต์บางรูปเช่น พระอานนท์ และพระโมคคัลลานะ
แต่ก่อนที่ Nai Mu จะพาไปปิดประตูนรกในวันที่ 21 กันยายนนี้ (วันที่ 30 เดือน 7 ของจันทรคติจีน) ขอทิ้งท้ายด้วยการแนะนำพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งเพื่อปิดท้ายและปิดประตูนรกอย่างสนิทสมบูรณ์ ซึ่งพระโพธิสัตว์พระองค์นี้มีนามว่า “พระกษิติครรภโพธิสัตว์” หรือ คนจีนเรียก “ตี่จั่งอ๊วงผ่อสัก” ซึ่งทรงบำเพ็ญช่วยเหลือโปรดสรรพสัตว์ในใต้ผืนดิน หรือ นรก ให้พ้นจากทุกข์ เป็นที่นับถือในประเทศจีนและญี่ปุ่นมาก จนมีคำกล่าวว่า “กวนอิม โปรดคนเป็น ตี่จั่งอ๊วง โปรดคนตาย” !
คำว่า กษิติครรภ์ หมายถึง ขุมทรัพย์ของแผ่นดิน ! และ วันที่ 29 เดือน 7 ทางจันทรคติจีน เป็นวันประสูติพระองค์
ทั้งนี้รูปลักษณ์ของท่านนั้นคือ พระอรหันต์สวมชุดแบบพระจีน มีทั้งแบบสวมหมวกพระเจ้าห้าพระองค์ และไม่สวมหมวก ในมือถือแก้วจินดามณี (สารพัดนึก) และไม้ขักขระ พาหนะประจำพระองค์ คือ ตี้ทิง !



ชาติกำเนิดของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ปรากฏในพระสูตรชื่อ “กษิติครรภโพธิสัตว์มูล ปณิธานสูตร” (ตี่จั่งอ้วงผ่อสักปึงหง่วงเก็ง) เมื่อคราวที่ พระศากยมุนีพุทธเจ้า เสด็จไปโปรดพุทธมารดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้งนั้น เหล่าพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ เทพเจ้า เซียน นาคาและอมนุษย์ต่างอนุโมทนาในพระกรุณา และเข้าฟังธรรมโดยถ้วนหน้า ฝ่ายมหายาน ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้ เพื่อสดุดีพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งนามว่า “พระกษิติครรภโพธิสัตว์” พระสูตรนี้ กล่าวถึงชาติกำเนิด 4 ชาติภพ ก่อนจะบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์
โดยชาติแรก สมัยพระพุทธเจ้า นามว่า “ สิงหวิกรีฑิตสมปูรณจริยาตถาคต” – บุตรชายของคหบดีท่านหนึ่ง ได้เห็นและสนทนาธรรม พร้อมกับถามพระพุทธองค์ว่า “หากต้องการมีมหาปุริสะลักษณะมหาบุรุษ ต้องทำเช่นไร” ท่านบอกว่า ต้องโปรดเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ เหตุนี้ บุตรชายคหบดีจึงตั้งสัจวาจาและปณิธานว่า จะโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ ไม่ยอมสู่แดนพุทธภูมิ จนกว่าจะไม่มีผู้ทุกข์ในโลก !



ในชาติที่สอง ในสมัยพระพุทธเจ้า นามว่า “พระโพธิศานติวรราชตถาคต” บุตรคหบดีผู้นั้นเกิดเป็นนาง พราหมณี ฝ่ายแม่ปฏิบัติตัวย่อหย่อนและไม่เคร่งในการนับถือพระรัตนตรัยนัก เมื่อแม่ตายก็ไปชดใช้กรรมในนรก นางพราหมณีรู้อยู่แก่ใจว่า แม่ต้องทุกข์ทรมานจากบาปกรรมที่ได้ก่อไว้เมื่อเป็นมนุษย์แน่ จึงตัดสินใจลดเลิกในสิ่งไม่จำเป็น อยู่อย่างสมถะ เอาเงินทอง ไปทำบุญ ถวายดอกไม้และเครื่องหอมบูชาพระรัตนตรัย กระทั่งวันหนึ่งนางได้สวดมนตร์และกล่าวถามพระพุทธรูปเบื้องหน้านางว่า แม่ของลูกชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับผลบุญที่ลูกอุทิศส่วนกุศลให้หรือเปล่า ? พลันนางก็ได้ยินเสียงหนึ่งตอบว่า ให้นางบูชากล่าวนามของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ วันหนึ่ง นางจะได้รู้ในคำตอบนั้น เมื่อกลับบ้านนางก็เริ่มกล่าวบูชาและเปล่งพระนาม “พระโพธิศานติวรราชตถาคต” ล่วงเวลา… ในคืนหนึ่ง นางก็ได้เดินทางไปนรก และพบกับจอมภูติท่านหนึ่งชื่อ “อพิสา” ( ต่อมาเป็น “ธนกูฏโพธิสัตว์”) บอกกล่าวแก่นางว่า มารดาของนางได้ไปเสวยสุขในสรวงสวรรค์แล้ว เพราะบุญที่นางตั้งใจทำให้แม่ การไปนรกในครั้งนั้น ทำให้นางพราหมณีได้เห็นชีวิตทุกข์ทรมานของดวงวิญญาณอื่นๆ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงตั้งจิตขอถือศีลเพื่อโปรดสัตว์นรก

สำหรับชาติที่สาม นางพราหมณี ได้เกิด เป็นพระราชาครองแคว้นหนึ่ง และเพื่อนซึ่งสนิทสนม ครองอีกแคว้นหนึ่ง ทั้งคู่มีจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกัน ที่จะถวายแผ่นดินเป็นพุทธบูชา ต่างปกครองไพร่ฟ้าด้วยความเมตตาและยุติธรรม เพื่อนอธิษฐานจิตของเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า ซึ่งมีนามว่า “พระสัพพัญญัติสิทธิมาตถาคต” ส่วนราชา ซึ่งเป็นอดีตพราหมณีมาเกิดใหม่ขออธิษฐานของเป็นพระโพธิสัตว์ในกาลเบื้องหน้า
และชาติที่สี่ ในสมัยพระพุทธเจ้านามว่า “พระศุทธปัทมโลจนาตถาคต” ราชาที่อธิษฐานจิตขอเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เกิดเป็นหญิงอีกครั้งหนึ่ง นางชื่อ “ประภาเนตร” แม่ของนางชอบกินปลาและตะพาบน้ำ และไม่เกรงกลัวต่อบาป เมื่อแม่นางตายไป นางประภาเนตร ก็อยากรู้ว่า แม่ของนางเป็นอย่างไรบ้าง ? วันหนึ่ง พระอรหันต์ท่านหนึ่งก็พานางไปเห็นภาพความทุกข์ทรมานของแม่ในขุมนรก นางสังเวชใจ ถามพระอรหันต์ว่า มีวิธีใดที่ช่วยแม่ของนางได้ พระอรหันต์จึงบอกวิธี เมื่อกลับไปนางตัดสินใจขายบ้าน และข้าวของต่างๆ ที่ไม่จำเป็น เอาเงินนั้นมาสร้างวัดและพระพุทธรูป ให้ผู้คนและนางได้กราบไหว้บูชา ผลจากการกระทำดังกล่าวได้ส่งผลให้แม่ของนางได้เกิดในชาติภพใหม่ เป็นลูกของทาสในเรือนของนางประภาเนตร และเศษกรรมที่ยังอยู่ ทำให้เด็กผู้นี้มีอายุได้เพียง 13 ปีก็สิ้นชีวิต ไปใช้กรรมต่อในนรก และภายหลังเมื่อสิ้นกรรม เกิดเป็น “พระวิมุตติโพธิสัตว์”
ส่วนนางประภาเนตร เมื่อสิ้นสุดชาตินี้แล้ว ก็ไปเกิดเป็น “พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์” ตามแรงอธิษฐานแต่แรก

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวของคนในประวัติศาสตร์ด้วย เริ่มจาก สมัยราชวงศ์ถัง เจ้าชายคิม เคียวกัก แห่งอาณาจักรชิลลา ประเทศเกาหลี ได้เสด็จออกผนวช เป็นพระภิกษุฉายา “ตี่จั๋ง” เมื่อพ.ศ. 1196 แล้วเดินทางมาจาริกยังประเทศจีนพร้อมด้วยสุนัขสีขาวชื่อ เสี่ยงเทีย จำพรรษาที่ภูเขากิวฮั้วซัว มณฑลอานฮุย ต่อมาคหบดีชื่อเมียงกง ได้ปาวารณาถวายที่ดินแก่ท่านเพื่อสร้างอาราม บุตรชายของเศรษฐีได้ออกบวชเป็นศิษย์ท่านมีฉายาว่า เต้าเม้ง ภายหลังเศรษฐีก็ได้ออกบวชตาม พระตี่จั๋งจำพรรษาอยู่ถึง 75 พรรษา จนถึงพ.ศ. 1271 หลังจากท่านมีอายุได้ 99 ปี แล้วร่างของท่านนั่งสงบไปอีก 20 ปี ถึงปี พ.ศ. 1300 ร่างของท่านก็อยู่ในท่าสมาธิเกิดเป็นอัศจรรย์บรรดาสาธุชนจึงได้รวบรวมปัจจัยสร้างเจดีย์ขึ้น และท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระกษิติครรภ (กิมตี่จั๋ง แปลว่า พระตี่จั๋งแซ่กิม) มาโปรดสัตว์

เสี่ยงเทีย สุนัขขาวที่ซื่อสัตย์สมัยเมื่อท่านยังมีชีวิต ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสัตว์เทพพาหนะคู่พระบารมีของ “พระกษิติครรภโพธิสัตว์” ในชื่อใหม่ว่า “ตี้ทิง” มีลักษณะอย่างสัตว์วิเศษ คือ ฟังแต่สิ่งที่เป็นความจริงและสัจจะ ด้วยลักษณะพิเศษคือ มีเขาหนึ่งเขา, หูเหมือนสุนัข, กายเป็นมังกร, ศีรษะเป็นเสือ, หางสิงโต สัตว์เทพตี้ทิง มีอิทธิฤทธิ์สามารถทราบวาระจิตดีชั่วของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก ล่วงรู้ความเป็นมาเป็นไป อดีต-อนาคตของสัตว์โลกทุกชีวิต
ทั้งนี้พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ยังเป็นที่นิยมและถูกกล่าวถึงในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย โดยมีชื่อเรียกว่า “เทพจิโซ โบซัสสุ” หรือ พระโพธิสัตว์ผู้พิทักษ์เด็ก ! ทำหน้าที่ดูแลช่วยเหลือผู้หญิงที่ท้อง แท้งลูก , เด็ก และเป็นผู้นำทางแก่นักเดินทาง วิญญาณเด็กๆ ที่เสียชีวิตไปนั้น ส่วนใหญ่จะหลงวนเวียนอยู่ในการเดินทางสู่ปรโลก เป็นวิญญาณเร่ร่อน คนญี่ปุ่นเชื่อว่า คนตายจะมาข้ามแม่น้ำซันสึที่เชื่อมต่อโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ ดังนั้น ท่านเทพจิโซจึงซ่อนวิญญาณเด็กๆ เหล่านี้ไว้ในผ้าแดงเพื่อพาข้ามแม่น้ำสายนี้
ท่านไม่มีศาลสถิตอย่างเทพองค์อื่นๆ แต่นิยมสร้างเป็นตุ๊กตาหินในวัด และตั้งเรียงรายตามทาง เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่า ท่านเป็นผู้นำทางถึงจุดหมาย นั่นเอง
แม้ประตูนรกจะปิดลงอย่างบูรณ์ในปีนี้ แต่แสงที่สุกสว่างจากลูกแก้วจินดามณีของพระโพธิสัตว์จะเปล่งแสงสว่างท่ามกลางขุมนรกอันมืดมน
“ตราบใดที่นรกไม่ว่างเว้น เราจะไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ” นี่คือเจตจำนงของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ พระองค์นี้
เรื่อง : โดยNai Mu
ข้อมูล- ภาพประกอบ บางส่วนจากอินเทอร์เน็ต



Leave feedback about this