ตึกไทยคู่ฟ้านี้ ทำเนียบรัฐบาล
วันนี้ Nai Mu กรูรูสายมูแห่ง God’s City ผู้มีเรื่องเล่ามากมายจากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City มาชวนสายมูและไม่มูทั้งหลายไปเกาะกระแสนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อไปทำความรู้จักสิ่งศักดิ์ที่เชื่อกันว่า “นรสิงห์” ที่ร้อนกว่าเพลิง ไม่แน่จริงอย่าตั้งในบ้าน !


ทั้งนี้ภาพที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล อุ้มอัญเชิญ “องค์นรสิงห์” สัญลักษณ์แห่งทำเนียบจากตึกแสงอาทิตย์ กลับวางไว้ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า เหมือนยุคของลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งทำเนียบในปัจจุบันก็คือ บ้านนรสิงห์ อันเป็นสมบัติของตระกูลพึ่งบุญ ณ อยุธยา โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นเพื่อพระราชทานแก่พระยาประสิทธิ์ศุภการ หรือหม่อมหลวงเฟื้อง พึ่งบุญ ณ อยุธยา ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์สูงสุดเป็น “เจ้าพระยารามราฆพ” ข้าราชสำนักคนสนิทของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 โดยท่านเคยดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกรมมหรสพ ในปี พ.ศ. 2456 หรือปัจจุบันคือสำนักการสังคีต กรมศิลปากร และหน่วยงานนี้มี “นรสิงห์” เป็นตราประจำกรม แต่บ้านนรสิงห์จะเคยมี “นรสิงห์” หรือไม่ ไม่มีประวัติยืนยัน ที่แน่ๆ นรสิงห์องค์นี้ สร้างในสมัยที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี !
สำหรับตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เดิมชื่อ ตึกไกรสร ที่แปลว่า สิงห์, สิงโต อันเป็นนามของหม่อมไกรสร (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงรักษ์รณเรศ) ต้นตระกูล พึ่งบุญ บ้านนรสิงห์นี้ออกแบบโดยมาริโอ ตามานโญ
จึงเป็นโอกาสที่ Nai Mu จะนำเสนอเรื่องราวของ “นรสิงห์” หรือ “พระนาราซิมฮา” อวตารปางที่ 4 ของพระวิษณุเทพ มาเพื่อปราบหิรัณยกษิปุ โดยอวตารปางนี้ เจ้าอารมณ์ โหด เหี้ยม แม้สังหารกษัตริย์รากษสตนนี้แล้วก็ไม่คลายความโกรธ อารมณ์ร้อนเหลือประมาณ จึงไม่นิยมนำมาตั้งในบ้านเรือน แต่ถ้าจะตั้งในบ้านต้องมี “ตัวช่วย” ปรับเปลี่ยนความดุร้าย ร้อนแรง เป็นปาง “นรสิงห์-ลักษมี” เพื่อทำให้อารมณ์เย็นลง และท่าโยคะชื่อ Simhasana หรือท่าสิงโต เป็นหนึ่งในการการผ่อนคลายอารมณ์


ธรรมชาติของสิงโตคือ การแสดงอำนาจ แข็งแกร่ง เป็นนักล่า !
ความเดิม เริ่มจากเรื่องราวอันไกลโพ้น … กุมารทั้ง 4 ได้แก่ สนก, สนนฺทน, สนาตน,สนัตกุมาร อันเกิดจากความคิดของพระพรหม เดินทางไปเฝ้าพระวิษณุที่วิมานไวกูณฑ์ “จายา (ชัย) และวิชัย” นายทวารบาลบอกว่า พระหริวิษณุพักผ่อนอยู่ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าเฝ้า แต่กุมารทั้ง 4 ได้แจ้งกลับไปว่า พระวิษณุย่อมให้พวกเราเข้าเฝ้าได้ทุกเวลา ถกเถียงกันสักพัก กุมารจึงกล่าวสาปให้นายทวารบาลทั้งสองต้องมีเหตุไปเกิดและมีชีวิตอย่างคนทั่วไปในโลกมนุษย์
ต่อเมื่อนายทวารบาลทั้ง 2 เข้าเฝ้าพระวิษณุพร้อมแจ้งให้ทราบถึงคำสาป แต่พระวิษณุท่านบอกว่า แก้คำสาปนั้นไม่ได้ จะมีแค่ 2 ทางให้เลือก คือ ต้องเป็นผู้ภักดีรับใช้ในพระวิษณุ ผู้เป็นเจ้าถึง 7 ชาติ หรือ เป็นศัตรูกับพระองค์ 3 ชาติ ! แล้วจึงได้กลับวิมานไวกูณฐ์
ชัยและวิชัย เห็นว่า 7 ชาติจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเกินไป จึงเลือกเป็นศัตรูกับพระองค์ถึง 3 ชาติ
ชาติแรก เป็นอสูรพี่น้องชื่อ หิรัณยกษิปุ และ หิรัณยากษะ
ชาติที่สอง เป็นยักษ์ 2 พี่น้อง คือ ราวณะ (ทศกัณฐ์) และ กุมภกรรณะ (กุมภกรรณ)ใน “รามาวตาร”
ชาติที่สาม “ชัย” นายทวารบาลวิมานไวกูณฐ์ เกิดเป็น “ศิศุปาล” มี 3 ตา 4 แขนตั้งแต่เด็ก จนพระกฤษณะมาอุ้มเด็กคนนี้ไว้บนตัก ส่วนเกินนั้นก็หายไปตั้งแต่นั้น เมื่อโตขึ้น ทำบาปจนครั้งที่ 101 ด้วยการดูหมิ่นพระกฤษณะ จึงถูกจักรสุทรรศน์ตัดร่างถึงแก่ความตาย กลับวิมานรับใช้พระวิษณุดังเดิม!

ในยุคกฤตยุค พระวิษณุทรงอวตาร 4 ครั้ง เป็นปลา , เต่า, หมูป่า (วราหาวตาร) เพื่อสังหาร“หิรัณยากษะ” และ นรสิงหาวตาร เพื่อสังหารหิรัณยกษิปุ ซึ่งเป็นปางสุดท้ายที่พระวิษณุอวตารในร่างสัตว์ในกฤตยุค
วันประสูติของพระองค์เรียก “นรสิงห์ชยันตี” ตรงกับวันที่ 14 เดือนไวศก (ราวเดือนเมษายน-พฤษภาคม)
“หิรัณยกษิปุ” ราชารากษส มีเมืองใกล้หนองน้ำ บำเพ็ญตบะด้วยการยืนขาเดียว ยกมือพนมเหนือศีรษะ ทำสมาธิกรรมฐานในน้ำ ถวายบูชาแด่พระพรหม (บ้างว่าพระศิวะ) เป็นเวลา 11,000 ปี จนพระเป็นเจ้าต้องเสด็จมาให้พร!
พรที่ขอคือ “ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ,ข้างในหรือข้างนอก, อากาศหรือใต้ดิน,มนุษย์หรือเทพ, ยักษ์หรือรากษส , คนธรรพ์หรือกินนร, สัตว์บกหรือสัตว์น้ำ ศาสตราวุธใด เหล่านี้จะไม่สามารถพาข้าฯไปสู่ความตายได้”
พระพรหมก็อำนวยพรให้ตามปรารถนา ! ได้พรแล้ว หิรัณยกษิปุก็กำเริบเสิบสานก่อกวนทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ ตั้งตนทียม “พระเป็นเจ้า” รบกี่ครั้ง เทวดาก็พ่ายแพ้ศึก จนพระอินทร์และมวลหมู่เทวดา วิ่งไปหาพระศิวะ พระศิวะบอกไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ พระอินทร์จึงยกพลไป ขอให้พระวิษณุช่วยแก้สถานการณ์ที่เป็นภัยคุกคามนี้ …. พระวิษณุรับทราบในคำวิงวอน และสัญญาว่าจะไปปราบ…

หิรัณยกษิปุ มีบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อ “ประหลาด” ที่มีวิสัยผิดจากพ่อที่เป็นอสูร ! เพราะพระนารทฤาษีทรงสอนเด็กคนนี้ให้เคารพ ยำเกรงและยึดมั่นในพระวิษณุตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จึงตอบพ่อที่ถามว่า ร่ำเรียนได้ความรู้อะไรมาบ้าง ฝ่ายลูกตอบด้วยความมั่นใจว่า ต้องตั้งมั่นในศีลธรรม ความดี และภักดีต่อพระวิษณุ ฝ่ายหิรัณยกษิปุที่ตั้งตัวเทียมพระเจ้า บังคับให้มนุษย์ – เทวดานับถือ ก็โกรธ เลือดขึ้นหน้ากับคำพูดของลูกชาย เพราะถ้ายังปล่อยให้ความคิดนี้เติบโต จะเป็นอันตรายใหญ่หลวงกับตน
“ไหน เจ้าลองเรียกพระวิษณุที่เจ้าเคารพ นับถือ นักหนาออกมาให้ข้าเห็นสิ” ….
ว่างเปล่า ! พ่อโกรธ จึงสั่งลูกน้องให้ลากตัวประหลาดไปให้ช้างเหยียบ แต่ช้างวิ่งเข้ามาชูงวง คุกเข่า นบนอบซะงั้น ! จุดไฟเผาร่าง ไฟก็มอดลงทันใด
“เสด็จพ่อ พระวิษณุเทพ ดำรงอยู่ทุกที่” ! ประหลาดพยายามจะบอกพ่ออีกครั้ง
แม้ในเสาพระราชวังของข้าก็มีพระวิษณุหรือ ? “ใช่แล้ว… เสด็จพ่อ” ว่าแล้วอารมณ์ของรากษสก็ถึงที่สุด ใช้ขาที่มีกำลังมหาศาลเตะเข้าที่เสาพระราชวังเต็มแรง !
ขณะนั้น ดวงตะวันคล้อยต่ำ ในยามเวลาโพล้เพล้ เข้าสู่ภาวะที่เหมาะสม ! พระหริวิษณุ ออกจากเสาในพระราชวัง ด้วยรูปของมนุษย์ครึ่งสิงห์ กระชากลากหิรัณยกษิปุไปที่ระหว่างธรณีประตู ทรงสังหารด้วยกรงเล็บที่แหลมคม … แหวกท้อง ควักตับไตไส้พุง และเลือดมากิน….
เพราะเวลานั้น ไม่ใช่กลางวันหรือกลางคืน ,ไม่ใช่ข้างในหรือข้างนอกประตูราชวัง ไม่ใช่อากาศหรือใต้ดิน นรสิงห์ ผู้นี้ เป็นสัตว์กึ่งมนุษย์ ไม่ดำรงภาวะของมนุษย์หรือเทพ, ยักษ์หรือรากษส , คนธรรพ์หรือกินนร, สัตว์บกหรือสัตว์น้ำ และไม่ใช้ศาสตราวุธใด ทั้งหมดอยู่นอกเหนือพรที่ขอไว้ทั้งสิ้น


เมื่อสังหารหิรัณยกษิปุ นรสิงห์ก็ยังอยู่ในอารมณ์โกรธที่ไม่อาจจะระงับสติได้ จนพระประหลาด สาวกผู้ภักดีต้องกล่าวคำสรรเสริญ ขอร้องให้ยกโทษให้พระบิดา พระประหลาดได้เป็นกษัตริย์ปกครองเหล่ารากษสต่อจากบิดา ปรับเปลี่ยนนโยบาย ปกครองด้วยคุณธรรม และยุติธรรม และนับถือในองค์พระวิษณุ
สืบเนื่องจาก พระนรสิงห์ถูกพิษของเลือด เนื้อของหิรัณยกษิปุซึ่งมีพิษร้าย ทำให้นรสิงห์คลุ้มคลั่ง จึงมีเรื่องเสริมอีก 2 เรื่องตามมา คือ พระศิวะเทพจึงต้องอวตารเป็น “พระศรภะ” เป็นสัตว์วิเศษ ที่ผสมผสานของนกและสิงโต มี 8 ขา เข้าต่อกรกับนรสิงห์ ใช้กรงเล็บสังหารจนถึงแก่ความตาย ! บ้างก็ว่า พระนรสิงห์ได้แปลงกายเป็นพญานก (เหมือนอินทรี) มี 2 หัว หางยาวรำแพนคล้ายนกยูง ชื่อ คันธาภเหรุนดา (สัญลักษณ์ประจำรัฐกรณาฏกะ อินเดีย) สู้กันอย่างดุเดือดด้วยกำลังมหาศาล จนพระศิวะต้องให้ภาคร้ายคือ “พระไภรวะ” ใช้ตาที่สาม สร้างเทวีพระองค์หนึ่งชื่อ “เทวีมหาปรัสตริยังกีรา” หรือ “พระนราซิมฮี” เป็นสตรีครึ่งสิงห์ (อวตารพระอุมา) ให้มนต์เสน่ห์แห่งพระนาง ทำให้นรสิงห์มีสติ ระงับโทสะ อารมณ์สงบลง จากนั้นนรสิงห์ได้เกี้ยวพาราสีพร้อมอุ้มนางมาไว้บนตัก สถาปนาเป็นเทวี ความรักทำให้นรสิงห์อ่อนโยนลง !
พระมหาปรัสตริยังกีรา ถือเป็นเทวีปางหนึ่งของ “พระแม่อาทิปราศักติ” ในลัทธิศักติ
เรื่อง : โดยNai Mu
ภาพและข้อมมูลจากอินเทอร์เน็ต
Leave feedback about this