พฤศจิกายน 20, 2025
ticycity.com
Culture God's City

นวราตรี ค่ำคืนแห่ง “ทุรคา” 9 ปาง  9วัน  9 คืน

เส้นทางถนนสีลม 

วัน-เวลา ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่กี่เดือนก็เข้าสู่ช่วงปลายปีแล้ว !  และหนึ่งในเทศกาลที่คนทั่วทุกสารทิศรอคอยกัน รวมทั้งตัว Nai Mu ด้วย นั้นคือ เทศกาลนวราตรีค่ำคืนแห่ง “ทุรคา” 9 ปาง  9วัน  9 คืน ฉะนั้นจะช้าอยู่ใย God’s City โดย Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายจากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City จะพาสายมูและไม่มูทุกเพศ ทุกวัยมุ่งสู่เส้นทางถนนสีลม เป็นการสำรวจเส้นทางและเตรียมตัวก่อนที่จะเริ่มเข้าร่วมงานในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันแรกของเทศกาลนี้

สำหรับ “เทศกาลนวราตรี” ที่กินเวลาถึง 9วัน 9 คืน   ในปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 23 กันยายน – วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2568 (วันขึ้น 1-9  ค่ำเดือน11) โดยวันสุดท้าย เรียก “วันวิชัยทัสมิ” หรือ “ดุซเซร่าห์”  ซึ่งจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้าสู่ถนนสีลม เพื่อชื่นชมบารมีของพระแม่ศรีอุมาเทวี ผ่านม้าทรงที่จะยาตราไปบนเส้นทางถนนตามพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ พร้อมประทานพรให้กับเหล่าสานุศิษย์ 

โดยตลอดเส้นทางที่พระแม่ยาตราผ่านนั้นจะมีทั้งการตั้งซุ้มต่างๆ จากผู้ศรัทธา รวมทั้งเทวรูปองค์เทพก็จะถูกนำมาจัดวางตกแต่งอย่างสวยงาม อบอวลไปด้วยกลิ่นธูป ควันเทียน การถวายไฟอารตี  และการเริงระบำรำฟ้อน เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์หนึ่งของกิจกรรมระดับประเทศกันเลยทีเดียว ! 

และสำหรับผู้ที่ชื่นชมงานเฉลิมฉลอง ต้องไม่พลาดในคืนวันวิชัยทัสมิ ซึ่งหมายถึงพระแม่มีชัยต่อมหิษาสูร หรือที่บางท้องที่เรียก ดุซเซร่าห์ ซึ่งพระรามมีชัยต่อราวณะ ในค่ำคืนวันพุธที่ 1 ตุลาคมนี้ 

ทั้งนี้ประเพณี “นวราตรี”  จะจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรก ในช่วงฤดูร้อน ระหว่างวันที่ 1-9 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งจะเน้นที่งานพิธีกรรมทางศาสนามากกว่า ส่วนงานช่วงปลายปีจะมีการเฉลิมฉลองเป็นที่เอิกเกริก 

“ตรีศักติ” ของพระเป็นเจ้าทั้งสาม ล้วนมีกำเนิดจากพระแม่อาทิปราศักติ

ซึ่งเทศกาลนวราตรี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ทุรคาบูชา” ส่วนคำว่า “นว” หมายถึง 9 เนื่องจากเทศกาลนี้ กินระยะเวลา 9 วัน 9 คืน ในแต่ละคืนจะบูชาพระแม่ในพระนามและปางอวตารแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยลัทธิศักติ อันมีพระแม่เป็นใหญ่นั้น เชื่อกันว่า เหล่าเทวีของพระเป็นเจ้าองค์อื่นๆ ทั้งพระลักษมีและพระสรัสวดี ล้วนมีต้นกำเนิดจาก “พระแม่อาทิปราศักติ” ทั้งสิ้น ! 

เทพฝ่ายสตรี ได้รับการยกย่องมาตั้งแต่บรรพกาล ในฐานะผู้ให้กำเนิด เป็นต้นเค้าของความอุดมสบูรณ์ ความเชื่อนี้มีมาก่อนที่ชาวอารยัน (อิหร่านในสมัยโบราณ)  จะเข้ามายึดดินแดนของชาวทมิฬ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่อินเดียแต่เดิม  นักรบอารยันมีวัฒนธรรม ความรู้ที่สูงกว่า จึงมักดูถูกพวกชาวพื้นเมืองที่ล้าหลัง ซึ่งมีพิธีกรรมบูชา “ผี-ปีศาจ” ที่แปลกประหลาด 

ฤาษีที่เป็นชาวอารยันในยุคแรก ได้ประพันธ์มันตระ เพื่อสวดบูชาสรรเสริญพระเป็นเจ้าของตน เช่น พระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในเทวดาทั้งปวง และเป็นนักรบ , พระอรุณ , พระอัคนี, พระอุษา ฯลฯ

ต่อมาในยุคพระเวท -พราหมณ์  ความจำเป็นในการสู้รบน้อยลง เทวดาเดิมก็พลอยหมดบทบาทไปด้วย จนเข้าสู่ ฮินดูในปัจจุบัน พระเป็นเจ้าที่เคารพบูชากันคือ เทพเจ้าในสายตรีมูรติ  อันหมาถึง พระศิวะ-พระนารายณ์-พระพรหม  ส่วนเทวดาสตรีในสมัยโบราณ ไม่ได้มีบทบาทและไม่ได้รับการยกย่องเท่ากับเทวดาผู้ชาย  โดยต่อมาได้มีการรวมรายชื่อของ “ปีศาจเทวะ-เทวี” ในศาสนาพื้นบ้าน เพื่อให้เกิดสามัคคีมวลหมู่  เข้าเป็นปางต่างๆ ของพระเป็นเจ้าในศาสนาฮินดู  โอ้โลมปฏิโลมไม่ให้สังคมแตกแยก ! 

ต่อมา “นิกายศักติ” ซึ่งแสดงถึงพลังอำนาจของสตรี มี “พระอุมา – ปาราวตี” ชายาพระศิวะมหาเทพเป็นเจ้าซึ่งนิกายนี้ได้รวบชื่อของ ปีศาจ – เทวดา – นักรบชายขอบ ทั้งหญิง-ชาย ตามหมู่บ้านในศาสนาเดิม เพื่อเติมและจัดระเบียบเข้ามาเป็นปาง-อวตารของพระแม่ เคียงคู่ไปกับ มหาเทพศิวะ ที่เป็นหัวหน้าคณะของเหล่าภูติผี ,เทพ-เทวี  ดังนั้นในกลุ่มนี้จึงมีทั้งภาคใจดี เมตตา และดุร้าย  เช่น “พระกาล-พระกาลี” , “พระไภรวะ-พระไภรวี” ฯลฯ เชื่อกันว่า อาจดลบันดาลดีและร้ายได้สารพัด !  

สมัยมหากาพย์ “มหาภารตะ” พระกฤษณะทรงแนะนำให้พระอรชุนบวงสรวง บูชา และขอพรต่อพระแม่ทุรคาก่อนเข้าสู่สงคราม! พิธีทุรคาบูชานี้ แพร่หลายในหมู่วรรณะกษัตริย์ , นักรบ, ข้าราชการ และขุนนาง เหตุเพราะนางทุรคาคือ เทวีผู้ประสาทพรในด้านชัยชนะแก่การสงคราม

คำว่า “ทุรคา”  แปลว่า ผู้เข้าถึงได้ยาก !  ชื่ออื่นเช่น  “พระแม่มหิษาสุรมรรทินี”  พระนางคือ ผู้สังหารอสูรควายชื่อ “มหิษาสูร” ถือเป็นปางแห่งอำนาจและบารมี!  อสูรตนนี้มีชาติกำเนิดจากควายเผือก บำเพ็ญตบะบูชาพระพรหมเป็นหมื่นปี และขอพรให้ชีวิตเป็นอมตะ ไม่ตาย ! ซึ่งสามารถพบเป้าหมายนี้ของอสูรต่างๆ ในตำนานพระเป็นเจ้าในวรรณกรรมของอินเดีย  

อสูรบางตนก็ขอพรจากพระศิวะ , บางตนก็ขอพรจากพระวิษณุ ความจริง พรเพื่อความเป็นอมตะให้ตนไม่ตายนั้น เป็นการฝืนวัฎจักรของชีวิต พรข้อนี้เป็นข้อห้าม  “พระเป็นเจ้าให้ไม่ได้ดอก”  !  ดังนั้น อสูรส่วนใหญ่จึงยักย้ายคำขอด้วยเล่ห์กล  สร้างคำขออื่นที่คิดว่าทำให้ชีวิตเป็นอมตะ  ใช่ว่าพระเป็นเจ้าจะไม่รู้ว่า สันดานอสูรเป็นอย่างไร แต่ในฐานะผู้ให้พร ข้อหนึ่งคือ แม้สานุศิษย์จะดี-เลวแค่ไหน แต่ถ้าผู้นั้นมีความภักดี และบูชาอย่างสูงสุด อย่างไรเสียก็ต้องเสด็จมาประทานพรนั้นให้สมปรารถนา หนึ่งหมื่นปีผ่านไป พระพรหมเสด็จมาเบื้องหน้าของอสูร แล้วถามว่า เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ ? 

พระแม่ทุรคา สังหารอสูรควายนาม “มหิษาสูร”

“พรที่ขอให้ชีวิตเป็นอมตะ ข้าให้ไม่ได้ดอก ลองเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถิด” 

มหิษาสูร จึงขอให้ไม่ตายด้วยมือของมนุษย์ เทวดา หรืออสูรที่เป็นชาย แต่จะตายด้วยมือของผู้หญิงที่กำเนิดโดยไม่ผ่านครรภ์มารดา ! 

เพราะตามวิถีของโลกแล้ว เป็นใครก็ต้องเกิดจากครรภ์มารดาทั้งนั้น ! แต่วิถีที่อสูรเลือกแล้ว ก็จะมีช่องว่างให้ฝ่ายธรรมะเข้าปราบปราม ! ทุกเรื่องเหมือนกันหมด ต่างกันแค่จะหาข้อว่างใดเข้าทำการผลาญชีวิตอสูรเท่านั้น

พอได้พร มหิษาสูรก็รบชนะเทวดาฝ่ายชาย พระอินทร์และเหล่าเทวดา เมื่อพ่ายศึกก็วิ่งหนีหางจุกตูด ไปขอความช่วยเหลือจากมหาเทพทั้งสาม ที่บอกเหล่าเทวดาว่า พรที่อสูรได้รับนั้น จำเป็นต้องบวงสรวงบูชา ขอพึ่งพระบารมีของ “พระแม่อาทิปราศักติ” หรือ พระแม่แห่งจักรวาล องค์ปฐม ในกาลนี้

 สตรีที่มีชาติกำเนิดอันวิเศษนี้นามว่า “พระแม่ทุรคา”  เป็นแหล่งรวมพลังของเหล่าเทพ-เทวดาทั้งจักรวาล พระนางมีดวงหน้าและสรีระที่งดงามยิ่งกว่าหญิงใดในสามโลก และเหล่าเทวดาทุกพระองค์ต่างพร้อมใจกันสรรเสริญ และมอบอาวุธตลอดจนของวิเศษแก่พระนาง

เมื่ออสูรได้รับข่าวความงามของนางก็หมายจะสร้างสัมพันธ์ เกี้ยวพาราสี แต่นางยืนยันว่า ต้องการวัดฝีมือในการศึกกับมหิษาสูรเท่านั้น  การศึกครั้งนั้น นานถึง 9 วัน  พระแม่จำเป็นต้องแยกเป็นปางต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ปางอวตารเหล่านั้นมาช่วยรบ จนชนะไพร่พลฝ่ายอสูร มีชัยในที่สุด ! สถานสิ้นชีพของมหิษสาสูรคือ มหิศปุระ ปัจจุบันคือ ไมซอร์ ซึ่งในพื้นที่นี้ ช่วง “ทุรคาบูชา” จะเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่  ถือกันว่า พระทุรคา เป็นเทวีแห่งพละกำลัง , กล้าหาญ, ปกป้อง , กรำศึก และมีชัยชนะต่อสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง หลังเสร็จศึกคราวนั้น พระนางทรงกลับไปยังวิมานเพื่อบำเพ็ญพรตถือพรหมจรรย์ 

การบูชาใน 9 พระนามในช่วงนวราตรี เรียกกันรวมๆว่า “นวทุรคา”  ซึ่งจะคลุมหน้าที่ของมหาเทวี เช่น ธิดาแห่งขุนเขา, ศักติ และมหาศักติ , มารดา , นักรบหรือภาคดุร้ายเพื่อปราบอสูร เช่น 

ปางที่หนึ่ง ไศลปุตรี  (Shailaputri) หมายถึง ธิดาแห่งขุนเขา ซึ่งหมายรวมถึง พระสตีภาวนี  ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของแม่ศักติ นางคือ ชาติแรกของพระอุมา-ปารวตี พระธิดาของพระทักษะ ความขัดแย้งของพ่อตาที่ไม่ชอบลูกเขย เพราะ พฤติกรรมของพระเป็นเจ้าผู้นี้ ไม่สมกับเป็นมหาเทพ เช่น ชอบนุ่งลมห่มฟ้า อาศัยตามป่าช้า เอาขี้เถ้าจากการเผาศพคนตายมาทาตัว  พระสตีทนไม่ได้ที่พ่อดูถูกลูกเขย ไม่ไว้หน้า ไม่เชิญเข้าร่วมยัญพิธี นางจึงใช้ไฟตบะเผาชีวิตตนเอง  และต่อมาไปเกิดเป็น นางปารวตี พระธิดาของท้าวหิมวัตกับนางเมนกา

ปางที่สอง พรหมจารินี (Brahmacharini)  คือ นางปารวตีทรงบำเพ็ญพรต ทานแต่ผลไม้ ถวายนมและใบมะตูมบูชาศิวลึงค์ และพร่ำบ่นมนตร์ “โอม มัช ศิวายะ” เป็นเวลายาวนาน เพื่อให้พระศิวะรับนางเป็นชายา (เมื่อพระแม่สตีสิ้นชีพ พระศิวะหมดอาลัยตายอยาก ไม่ต้องการมีคู่ครองอีกต่อไป ทำให้จักรวาลขาดความสมดุล จนเหล่าเทวดาต้องขอให้กามเทพแผลงศรทำหน้าที่ให้ทั้งคู่ได้ครองรักกัน เพราะปาราวตีคือ พระสตีมาเกิดใหม่) 

ปางที่สาม จันทรฆัณฏา (Chandraghanta)  หลังต้องศรกามเทพ พระศิวะต้องชะตานางปาราวตี และเข้าสู่งานสยุมพร นางเมนกา แม่ของนางปารวตีเห็นพระศิวะ และบริวารภูติผี ที่แห่แหนเป็นขบวนกันมา ถึงกับลมจับ ! จนพระศิวะต้องเผยรูปทองที่ซ่อนอยู่ภายใน ทุกอย่างจึงเป็นไปด้วยดี 

ปางที่สี่ กุษมาณฑา (Kushmanda)  เป็นปางที่ทรงสร้างจักรวาลด้วยเสียงหัวเราะเพียงครั้งเดียว

ปางที่ห้า สกันธมาตา (Skandamata)  คือ แม่ของขันธกุมาร ที่ทรงเลี้ยงดูให้ลูกเป็น เทพนักรบ !

ปางที่หก พระแม่กาตยายนี (Katyayani) เป็นร่างอวตารหนึ่งของพระนางทุรคา , พระแม่มหิษาสุรมรรทินี เป็นผู้สังหารมหิษาสูร ดังที่ได้เล่าไปข้างต้น

ปางที่เจ็ด กาลราตรี (Kalaratri)  เป็นอีกนามหนึ่งของ พระแม่กาลี เมื่อสังหาร “จันทาอสูรและมุนทาอสูร” จึงได้ชื่อว่า จามุณฑาเทวี . ส่วนพระแม่กาลี สังหาร “อสูรมาธู” ที่ขยายพันธุ์เมื่อเลือดหยดลงพื้น  พระแม่กาลีจึงต้องดื่มเลือดของอสูรทั้งหมด จนอวบอ้วน และกำจัดอสูรได้ในที่สุด

ปางที่แปด มหาเคารี (Mahagauri) เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และความสงบสุข

ปางที่เก้า สิทธิธาตรี (Siddhidatri) คือ พระแม่อาทิปราศักติ  เป็นพลังงานบริสุทธิ์และไม่มีรูปร่าง กำเนิดตั้งแต่ปฐมจักรวาล 

บางแห่งก็จะมีนามที่ใช้ในแต่ละวันต่างกันไป ข้อมูลจากในหนังสือชื่อ “คนกับพระเจ้า”  ของ ผศ.ดร. พรหมศักดิ์ เจิมสวัสดิ์ กล่าวถึง 9 ปาง ในนามที่ต่างจากข้างต้น  1. มหากาลี , 2. พระทุรคา , 3. จามุนดา , 4. กาลี , 5 นันทา , 6. รักธาฮันตี , 7. สักกัมพารี , 8. พระทุรคา , 9. ลัคภรมารี  

และนี่คือที่มาของ วันวิชัยทัสมิ วันแห่งการเฉลิมฉลองเมื่อพระแม่มีชัยต่อมหิษสาสูร บางแห่งเรียก “ดุเซร่าห์” เมื่อพระรามมีชัยต่ออสูรราวัณ !

เรื่อง : โดย  Nai Mu

Leave feedback about this

  • Rating

Art & Event, Culture

กลับสู่โล

PR news

MINGYU แล

PR news

ฮีโน่เปิด

PR news, TICY PR

โรงแรมเรเ

Destination, Food

เฉลิมฉลอง

Destination, Food

อบอุ่นทุก