ธันวาคม 25, 2024
ticycity.com
Culture God's City

‘ท้าวเวสสุวรรณ’  ไม่ประทานเงินทอง แต่ปกป้อง ‘มนตร์ดำ’ 

สายมู

เชื่อว่าหลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง ท้าวเวสสุวรรณ กันอยู่ว่าท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องใดกันแน่ มาตาม Ticy City ไปฟังเรื่องเล่าจาก Nai  Mu กูรูสายมูเล่าเรื่องราวของของท่านเพื่อให้หายครางแครงใจ และกราบไหว้กันให้ถูก “ปาง” จะได้สมปรารถนาตามคำขอ เพราะแค่ชื่อเรื่อง ‘ท้าวเวสสุวรรณ’  ไม่ประทานเงินทอง แต่ปกป้อง ‘มนตร์ดำ’ ก็ต้องมีคำถามกันบ้างไม่มากก็น้อย

อย่าสับสน เพราะท้าวเวสสุวรรณ (เวสวัณ) ในวัดวาอารามต่างๆ  ที่ไปกราบไหว้นั้น ไม่ได้มีคุณสมบัติในการประทานทรัพย์สินเงินทองแต่อย่างใด หากคุณสมบัติของท่านคือ คุ้มครองพระพุทธศาสนา ป้องภัยจากภูติผีมารร้ายและมนตร์ดำทั้งปวง ! แม้ว่า ท่านจะมีต้นเค้ามาจาก “ท้าวกุเวร” เจ้าแห่งทรัพย์ของฝ่ายฮินดูก็ตาม  

“อิติปิโส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ  ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ  ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ” 

เชื่อว่า บทบูชาท้าวเวสวัณนี้ ทุกคนที่เคยกราบไหว้ท่านย่อมรู้จักกันเป็นอย่างดี! 

สำหรับท้าวเวสสุวรรณ นั้นในพุทธศาสนา ท่านคือ หนึ่งใน “ท้าวจตุโลกบาล” มหาราชทั้งสี่พระองค์ ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ตามคติจักรวาลวิทยา ! 

ท้าวเวสวัณ (ผู้สดับสรรพสิ่ง)ประจำทิศเหนือ ปกครอง ยักษ์

ท้าววิรุฬหก (ผู้พิทักษ์ขุนทรัพย์) ประจำทิศใต้ ปกครอง กุมภกัณฑ์

ท้าววิรูปักษ์ (ผู้แลเห็นสรรพสิ่ง) ประจำทิศตะวันตก ปกครอง นาค

ท้าวธตรฐ (ผู้ดูแลแผ่นดิน) ประจำทิศตะวันออก ปกครอง คนธรรพ์

รูปลักษณ์ของท้าวเวสวัณ คือ พญายักษ์เตี้ย รูปกายมีเขียว ยืนขาโก่ง ถือตะบอง จึงเรียก “ยักษ์สามขา” ความเชื่อเรื่องท้าวเวสวัณมีมาแต่โบราณ เด็กเล็กๆ มักร้องไห้จ้าไม่มีสาเหตุ  พ่อแม่จึงมักจะเอายันต์ท้าวเวสฯ ไปผูกไว้ที่หัวเตียงเด็ก เชื่อกันว่าป้องกัน ขับไล่ปีศาจ และวิญญาณชั่วร้ายที่มาคุกคาม รังควานเด็ก

มีเรื่องเล่าว่า  คราวหนึ่งเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกามาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อปวารานาตนรับใช้และคุ้มครองพระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าสาวกในพุทธศาสนา อีกทั้งมอบ “บทอาฏานาฏิยปริตร” ให้กับพระสงฆ์ เพื่อไว้สวดขับไล่ภูติผีปีศาจมนต์ดำ บทสวดนี้ คือ “สวดภาณยักษ์” นั่นเอง ! วัดใดมีพิธีดังกล่าว เสียงสวดที่อึกทึก อื้ออึงในวงล้อมสายสิญจน์นั้น ทำให้บางคนสะดุ้ง ดีด ดิ้น กรีดร้อง จนพระสงฆ์ต้องพรมน้ำมนต์ ! ขับไล่ 

อีกตำนานหนึ่งว่า ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า  พราหมณ์กุเวรมีไร่อ้อยจำนวนมาก และมีหีบหนีบน้ำอ้อยถึง 7 หีบ ทำรายได้แก่ครอบครัวมหาศาล จึงได้สร้างศาลาถึง 10 แห่งเพื่อแจกน้ำอ้อยเป็นทานให้แก่ผู้มาพัก  เมื่อพราหมณ์กุเวรสิ้นอายุขัยก็ไปเกิดเป็นท้าวกุเวร ผิวกายดั่งสีน้ำอ้อย เป็นใหญ่ ปกครองยักษ์ อาศัยบนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ทางทิศเหนือ ถือตะบอง ชื่อ “มหากาล” ที่สามารถทำลายโลกธาตุได้ 

อีกนามหนึ่งของท่านคือ “พระไพศรพณ์” ทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมบนสวรรค์ ! ในเมืองไทยได้นำรูปของท่านที่มือขวาถือตะบอง มือซ้ายเสมออก ยกมือห้ามไม่ให้เทวดาทำผิด มาเป็นตราอัยการ เพื่อทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมและกฎหมาย เช่นเดียวกับ พระไพศรพณ์ บนสวรรค์

คนไทยเรียก “ท้าวเวสวัณ”  ฝ่ายพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน คือ “ตอบุ๊งเทียงอ๊วง”  ยืนตะหง่านถือร่มบ้าง บางแห่งก็ถือเจดีย์ (เช่น วัดมังกรกมลาวาส) ท่านน่าเกรงกลัวที่สุดในกลุ่มมหาราชทั้งสี่ทั้งหมด   

นอกจากนี้ พุทธศาสนาฝ่ายวัชรยาน ของทิเบต เรียกท้าวกุเวรว่า “พระโพธิสัตว์ ชัมภละ” 

“โอม ชัมภาลา จาเลนไน เยโซฮา”

มาฟังเรื่องราวของ “ท้าวกุเวร” (กุเบร – กุเบร่า) สารตั้งต้นทางฝ่ายพราหมณ์กันบ้าง

ท้าวกุเบร (กุเวร) เป็นเทพเก่าแก่ในสมัยพระเวท  เมื่อเป็นศาสนาฮินดู เล่าว่า เดิมชื่อ “ยาคทัตต์”  เป็นหัวหน้าโจร  ซึ่งการออกปล้นในคราวหนึ่ง ถูกพวกทหารทางการไล่จับ จึงหลบเข้าไปในเทวาลัยร้างของพระศิวะ เทวลัยร้างแห่งนี้มืดมิดมานาน ไม่มีผู้คนเข้าไปกราบไหว้บูชา  เมื่อยาคทัตต์หลบเข้าไป จึงจุดไฟขึ้น เพื่อส่องทางให้ตัวเองเดินสะดวก  แต่ประทีปที่สว่างไสวนี้ ทำให้พระศิวะพึงพอใจมาก แต่เขาถูกทหารจับได้และถูกประหารชีวิต ขณะที่ยมทูตกำลังเดินทางมารับดวงวิญญาณ แต่พระศิวะก็ส่งสาวกไปตัดหน้านำดวงวิญญาณของยาคมัตต์มา และไปเกิดใหม่ ชื่อ พระไวศรวัณ ซึ่งได้บำเพ็ญตบะถวายพระศิวะจนพอใจ จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ เป็นเทพโลกบาลประจำทิศเหนือ ปกครองเมืองลงกา พระไวศรวัณเป็นพี่น้องต่างมารดาของพญาราพณ์ หรือ ทศกัณฑ์ ภายหลังพญาราพณ์ทำสงครามแย่งเมืองและบุษบกทองคำไป พระศิวะจึงมอบเมืองใหม่ชื่อ  “อลกา” บนยอดเขาคันธมาทน์ ให้แทน

ท้าวกุบร รูปลักษณะเป็นยักษ์เตี้ย ผิวสีทอง รูปร่างอ้วน ตัวเล็ก ท้องใหญ่  ฟัน 8 ซี่ และ มี 3 ขา สวมพัสตรา ภรณ์และเครื่องประดับสวยงาม ถือผลมะนาวและอุ้มพังพอนที่สามารถคายแก้วแหวนจินดา และของมีค่ามากมายไว้ในมือ  ภายหลังมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วย หรือ เลขาฯ พระลักษมี ไม่ใช่เพราะนางมีภารกิจอะไรมากมายหรอก แต่วันๆ พระลักษมีต้องพัดวีพระวิษณุเทพจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น นางจึงสถาปนาให้ท้าวกุเบรทำหน้าที่เลขาฯ แทน ใครมาขอพรใด ! ท้าวกุเบรจะเป็นคนตัดสินใจแทนทั้งการประทานพร และเปิดท้องพระคลัง ประทานเงินทองให้ตามความเหมาะสม  โดยความเชื่อนี้ ทำให้ได้เห็นภาพที่ 2 พระองค์ ทรงประทับนั่งทรงงานเคียงข้างกันเสมอ  บางแห่งอาจเพิ่มพระคเณศเข้าไปด้วย

“คนรวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด” !  มีเกร็ดหนึ่งว่า พระกุเบรชอบอวดรวยกับผู้อื่นเสมอๆ คราวหนึ่งจัดงานเลี้ยงที่เมืองอลกา เรียกเทพทั้งหลายมาร่วมดื่ม ร่วมกิน โชว์ความรวยสักหน่อย  พระคเณศไปร่วมงานด้วย อาหารมาเท่าไหร่ก็ฟาดจุกๆๆ แต่ไม่พอให้อิ่มท้อง ถึงขนาดกินทรัพย์สินเงินทอง และเมืองอลกาจนราบเรียบ เล่นเอาคนรวยอย่างพระกุเบรเหงื่อตก !

ความรวยหายไปในพริบตา ความจนมาเยี่ยมโดยไม่ได้ตั้งใจ! ท้าวกุเบรจึงไปพึ่งบารมีของพระนางปารวตี นางประทานข้าวถ้วยหนึ่ง ให้พระกุเบรส่งมอบให้พระคเณศกิน หลังกินแล้ว พระคเณศก็อิ่ม และคายทรัพย์สินและเมืองอลกาคืนให้ท้าวกุเบร

เรื่องสนุกๆที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นรูปลักษณ์ต่างๆของท้าวกุเวร ทั้งศาสนาพุทธและฮินดู ท่านเป็น เจ้าแห่งทรัพย์ แต่ไม่ใช่ “ไฉ่สิ่งเอี้ย “ เทพเจ้าแห่งโชคลาภตามความเชื่อทางฝ่ายเต๋าแน่นอน  !  

วิงวอน ร้องขอให้ถูก “ปาง” กันนะ สุข สมหวัง สมปรารถนา กันทุกคน

Leave feedback about this

  • Rating

Art & Event, Culture

Finding U

Culture, God's City

สองแผ่นดิ

Fashion, Trends

QUAD EYE

PR news, TICY PR

“ต้นกล้าฟ

Culture, Ticy Entertainment

10 Christ

X