พฤศจิกายน 16, 2024
ticycity.com
Health Trends

“ไข้เลือดออก”  อันตรายที่มากับยุงลายในหน้าร้อน

อากาศร้อน

เห็นด้วยกับ Ticy City หรือไม่ว่าปีนี้อากาศร้อนมาเร็วมาก นี่ขนาดยังไม่พ้นเดือนกุมภาพันธ์เลยอุณหภูมิก็เกือบจะ 40 องศาแล้ว จนอดคิดไม่ได้ว่าปีนี้อุณหภูมิร้อนสุดจะหยุดที่ตัวเลขเท่าไหร่

และเมื่ออากาศร้อนมากๆ แบบนี้อาจเกิดภาวะสโตรคได้ จึงควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ และดีที่สุดคือควรดื่มช้าๆ พร้อมหลีกเลี่ยงน้ำเย็น หรือน้ำแข็ง เพราะอาจส่งผลต่อหลอดเลือดเล็กปริหรือระเบิดได้  

แต่มีอีกหนึ่งโรคที่ Ticy City ขอบอกว่าต้องค่อยระวังเช่นกัน เพราะหากเป็นแล้วอาจอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน นั้นคือ “ไข้เลือดออก” 

เนื่องจากอุณหภูมิอากาศที่สูงขึ้นส่งผลให้ยุงลายแพร่พันธุ์ได้เร็วขึ้นนั่นเอง  เรียกได้ว่านอกจากจะต้องรับมือกับอากาศร้อนแล้ว ยังต้องรับมือกับแมลงต่าง ๆ โดยเฉพาะ ‘ยุงลาย’ ซึ่งเติบโตในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยได้ดี และมักจะสร้างความรำคาญด้วยการกัดตามร่างกาย ทำให้เกิดตุ่มแดงคัน อาการแพ้ หรือแผลเป็น แถมยังทำให้มีโอกาสเป็น ‘โรคไข้เลือดออก’ ได้อีกต่างหาก 

ซึ่งในกรณีที่มีไข้สูง และมีอาการรุนแรงอาจอันตรายถึงชีวิตได้อีกด้วย  โดยกรมควบคุมโร-เผยว่า ปี 2566 มีตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกสูงถึง 156,079 ราย และเสียชีวิต 175 ราย 

‘ไข้เลือดออก’ ขั้นรุนแรงอาจอันตรายถึงชีวิต!

โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 โดยโรคนี้ไม่ได้ติดจากคนสู่คนโดยตรง แต่ติดต่อผ่านทางยุงลายที่เป็นพาหะนำโรค จากการไปกัดคนที่ติดเชื้อไวรัสมาก่อนแล้วมากัดอีกคนหนึ่งในภายหลัง 

โดยปกติหากติดโรคไข้เลือดออกครั้งแรกอาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากติดเชื้อซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก จะมีโอกาสมีอาการรุนแรงได้ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง บางรายมีการรั่วไหลของน้ำออกจากหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อก ขาดน้ำ บางรายมีเลือดออกรุนแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตได้อีกด้วย

‘ไข้เลือดออก’ ขั้นรุนแรงอาจอันตรายถึงชีวิต!

โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 โดยโรคนี้ไม่ได้ติดจากคนสู่คนโดยตรง แต่ติดต่อผ่านทางยุงลายที่เป็นพาหะนำโรค จากการไปกัดคนที่ติดเชื้อไวรัสมาก่อนแล้วมากัดอีกคนหนึ่งในภายหลัง 

โดยปกติหากติดโรคไข้เลือดออกครั้งแรกอาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากติดเชื้อซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก จะมีโอกาสมีอาการรุนแรงได้ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง บางรายมีการรั่วไหลของน้ำออกจากหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อก ขาดน้ำ บางรายมีเลือดออกรุนแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตได้อีกด้วย

โรคไข้เลือดออก สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ 

ระยะแรก คือ ระยะไข้สูง (Febrile phase)  ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน มากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส โดยไม่มีอาการของระบบทางเดินหายใจ แต่จะมีอาการร่วมอื่นๆ ที่พบได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดกระดูก คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง และไข้มักจะลดลงในระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน

ระยะที่สอง คือ ระยะวิกฤต (Critical phase) หลังจากระยะไข้ ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีส่วนใหญ่จะเข้าสู่ระยะวิกฤตในวันที่ 5-7 ของไข้ ซึ่งเป็นระยะที่มีการรั่วไหลของน้ำออกจากหลอดเลือด ในบางครั้งอาจมีความรุนแรงมากจนทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเดงกีช็อก และมีโอกาสเสียชีวิตได้

ระยะที่สามหรือรยะสุดท้าย คือ ระยะฟื้นฟู (Recovery phase) หลังจากผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีอยู่ในระยะวิกฤตนานประมาณ 24 – 48 ชั่วโมง ก็จะเริ่มเข้าสู่ระยะฟื้นตัว โดยเป็นช่วงที่ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัวจนอาการ ต่าง ๆ ดีขึ้นอย่างรวดเร็วตามลำดับ

 ฉีดวัคซีน ‘ไข้เลือดออก’ กันติดเชื้อได้ 80%

โรคไข้เลือดออกนั้นสามารถเป็นได้ทุกคนเมื่อโดนยุงลายที่มีเชื้อกัด โดยเฉพาะเด็ก ๆ ในช่วงอายุ 5-14 ปี ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่พบอัตราการป่วยมากที่สุด ทั้งนี้สามารถป้องกันตัวเองจากการเป็นไข้เลือดออกได้หลายวิธี เช่น ทายากันยุง ใส่เสื้อให้มิดชิด เลี่ยงการโดนยุงลายกัด และดีที่สุดควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน 

ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนไข้เลือดออกครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธุ์  ทั้งนี้มีคำแนะนำจากนายแพทย์บารมี พงษ์ลิขิตมงคล  แพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) ศูนย์อายุรกรรม รพ.วิมุต ว่าควรฉีดวัคซีน คิวเดงกา (Qdenga) ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงทั้ง 4 สายพันธุ์ ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 3 เดือน สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 80% อีกทั้งยังป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลดความรุนแรง ลดโอกาสช็อกได้ถึง 90%  ซึ่งตัววัคซีนสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 – 60 ปี ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน แต่จะมีข้อห้ามสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยHIV เป็นต้น รวมถึงหญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร

วิธีการรักษา ‘โรคไข้เลือดออก’

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสเดงกีโดยเฉพาะ การรักษาโรคจึงเน้นรักษาตามอาการ และระยะของโรค เช่น การรับประทานยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอล เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำเกลือแร่ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง หรือเริ่มเข้าสู่ระยะวิกฤต ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะผู้ป่วยอาจมีภาวะสารน้ำรั่วไหลออกจากหลอดเลือด เลือดออกอย่างรุนแรง จนนำไปสู่ภาวะช็อก หรือเสียชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

และทุกวันนี้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น ยุงลายแพร่พันธุ์ได้เร็วขึ้น โอกาสในการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกจึงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทางที่ดีจึงต้องป้องกันตัวเอง โดยเลี่ยงการโดนยุงกัด ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายรอบ ๆ บ้าน พร้อมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะไข้เลือดออกสามารถเป็นซ้ำได้ตลอดชีวิต ซึ่งหากได้รับวัคซีนเวลาติดเชื้อขึ้นมาจะได้ป้องกันอาการรุนแรง และสามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น

ข้อมูล :  ศูนย์อายุรกรรม ชั้น 3  โรงพยาบาลวิมุต 

โทรศัพท์นัดหมาย 02-079-0030 เวลา 07.00-20.00 น. หรือเรียกรถฉุกเฉินได้ที่ เบอร์โทร 02-079-0191

#TicyCity #ตีซี้ชิตี้ #เมือง #City #health #ไข้เลือดออก #ยุงลาย #อากาศร้อน #วัคซีน

Leave feedback about this

  • Rating

Movement, Voice

ประตูเชื่

Movement, Voice

‘ลอยกระทง

Destination, Food

ร้านโนบุท

Art & Event, Culture

Awakening

Movement, Voice

‘โครงการห

Culture, God's City

ไหว้เทพอง

X