ticycity.com Contents Voice Movement ศาลาตรีมุข เศษซากมิตรภาพที่ไม่เคยมีอยู่จริง
Movement Voice

ศาลาตรีมุข เศษซากมิตรภาพที่ไม่เคยมีอยู่จริง

ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา 

เป็นสถานการณ์ที่ชาวไทยให้ความสำคัญกันมากับกับกรณีข้อพิพากชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ถึงขั้นกัมพูชาจะฟ้องศาลโลกอีกแล้วกันเลยทีเดียว

Ticy City ขอพาย้อนไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า ศาลาตรีมุข นั้นเกิดเพลิงไหม้จนความเสียหายทั้งหมด  จากนั้นวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ได้เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ในขณะที่ทหารไทยลาดตระเวน  ต่อมาทางกัมพูชาอ้างว่ามีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 2 ราย และบาดเจ็บสาหัส 1 รายและเสียชีวิตในภายหลัง 

ซึ่งสาเหตุของการปะทะครั้งมาจาก การเข้าครอบครองพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต รวมถึงล้ำเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยที่ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนถึง 150 เมตร หลังศาลาตรีมุขถูกเผาทำลาย โดยไม่สนคำเตือนของทหารไทย 

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดข้อพิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ช่องบก 

ที่มาของ “ศาลาตรีมุข”

สำหรับ ศาลาตรีมุข ที่ถูกเผาทำลายไปนั้น ตั้งอยู่ในพื้นที่ช่องบก ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2536 ซึ่งในขณะนั้น พลโทอิสระพงศ์ หนุนภักดี  ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 

เพราะหลังจากการปะทะในพื้นที่ช่องบกระหว่างปี พ.ศ. 2530–2531 ทั้งสามประเทศคือ ประเทศไทยโดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และกองทัพภาคที่ 2  สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยผู้ว่าราชการจังหวัดแขวงจำปาสัก  และประเทศกัมพูชา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดพระวิหาร ได้ร่วมพูดคุยและทสัญญาใจกันในการก่อสร้างศาลาดังกล่าวที่พื้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยพระลานเสือ 

ซึ่งตำแหน่งของการก่อสร้างศาลาตรีมุขนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดบรรจบของทั้งสามประเทศคือ ประเทศไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  และประเทศกัมพูชา  หรือกึ่งกลางของสามเหลี่ยมมรกต โดยการก่อสร้างได้ใช้กำลังพลของทหารทั้ง 3 ประเทศร่วมกันก่อสร้างขึ้นมา ภายใต้รูทรงตัวอาคารเป็นหน้าจั่ว 3 ด้าน แต่ละด้านหันไปยังแต่ละประเทศ และ การก่อสร้างที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้เงินงบประมาณของฝ่ายไทย และใช้วัสดุในการก่อสร้างจากฝ่ายไทยโดยอาศัยกำลังพลของฝ่ายไทยขนย้ายเข้ามาในพื้นที่

หลังก่อสร้างเสร็จสินภายในศาลาประดิษฐานพระพุทธรูป 3 องค์จากทั้ง 3 ประเทศ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและเป็นที่พบปะของกำลังพลทหารจากทั้งสามประเทศ แต่ทหารกัมพูชามักจะสร้างความไม่สบายใจให้กับฝ่ายไทยเรื่อยมาอีกทั้งยังไม่เคารพสิทธิ์ในพื้นที่ร่วมกัน เพราะมักจะอ้างความเป็นเจ้าของเพียงฝ่ายเดียว เช่น เมื่อปี พ.ศ 2546 อ้างว่าศาลาดังกล่าวชื่อว่า “ศาลาร่มฉัตร” (Ruom Chat House) เป็นของฝ่ายตนเอง และกล่าวอ้างว่าไทยยอมรับศาลาในชื่อนี้ และเรียกศาลานี้ตามที่ฝั่งกัมพูชาเรียก รวมทั้งอ้างว่าทหารชุดดำ (ทหารพราน) ของไทย 10–15 นาย พยายามเข้าไปในพื้นที่ศาลาของฝ่ายตน

ถัดมาเมื่อในปีพ.ศ. 2551 ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก เมื่อมีทหารกัมพูชาจำนวน 7 นาย พร้อมด้วยอาวุธครบมือเข้าไปในพื้นที่ศาลาตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551 และกระทรวงต่างประเทศได้ยื่นหนังสือประท้วงในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งต่อมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2551ได้มีการเผยแพร่ภาพทหารกัมพูชาจำนวนมากเกือบ 30 นาย จากหน่วยทหารชายแดนที่ 401 ในเครื่องแบบสนามพร้อมอาวุธ วางกำลังอยู่ในพื้นที่ของศาลาตรีมุขผ่านหนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพเลลีย์ (Koh Santepheap)

สามทศวรรษผ่านไปจนเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2568 ศาลาตรีมุข กลายสภาพเป็นเศษซากมิตรภาพที่ไม่เคยมีอยู่จริง

ข้อมูล        :วิกีพีเดียภาพ     :  เพจ กองทัพภาคที่ 2

Exit mobile version