กราดยิง
ในรอบระยะเวลาสี่ถึงห้าปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าสังคมไทย เริ่มจะต้องทำความเคยชินกับสถานการณ์อันตรายใหม่ อันเป็นปรากฏการณ์ที่แทบไม่เคยมีมาก่อน
ใช่ …. เรากำลังทำความเข้าใจกับสภาวะเหตุการณ์ ‘การกราดยิง’ ในที่ชุมชน ….
เหตุการณ์ที่มีผู้ไม่ประสงค์ดี และมีอาวุธปืนในครอบครอง เริ่มทำการสังหารผู้คนในสถานที่ และเวลาแบบสุ่ม หรือแบบที่เตรียมการไว้ โดยมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากกว่าสามคนขึ้นไป
เหตุการณ์ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งในประเทศอันห่างไกลอย่างสหรัฐอเมริกา กลายมาเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราแล้วในชั่วโมงนี้
ตั้งแต่เหตุกราดยิงที่นครราชสีมา, เหตุกราดยิงที่หนองบัวลำภู มาจนถึงล่าสุด เหตุกราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร
สโคปความร้ายแรงไม่ต่างกัน แต่แนวโน้มที่จะเกิดนั้น เริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าประหวั่นวิตกพรั่นพรึง เพราะสถานการณ์เช่นนี้ เราไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า มันจะเกิดขึ้นตอนไหน สถานที่ใด และเกิดขึ้นโดยใครเป็นผู้ลงมือ
สามเหตุการณ์ที่ยกอ้างไปก่อนหน้า คือตัวอย่างที่ผลลัพธ์ร้ายแรง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก สร้างความระส่ำระสายกับการตั้งคำถามโดยสังคม แต่ก็เป็นการตีกรอบล้อมรั้ว แก้ไขหลังจากความเสียหายได้บรรลุไปแล้ว …
‘ถอดบทเรียน’ คือคำกล่าวของหน่วยงานราชการ และผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ที่กล่าวหลังจากความสูญเสียเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้ความน่าจะเป็นของเหตุดังกล่าวนั้น ลดน้อยลง เรายังคงต้องใช้ชีวิตกันแบบ ‘ดูแลตัวเอง’ โดยไม่รู้ว่าครั้งถัดไป มันจะเป็นเราหรือไม่ ที่จะเข้าไปอยู่ในทางปืน…..
มูลเหตุปัจจัยถูกวินิจฉัย เหตุผลในการก่อเหตุถูกยกขึ้นมาทุกครั้งที่เหตุการณ์ผ่านพ้น ผู้ก่อเหตุมีอาการแบบนั้นแบบนี้ มีภาวะแบบนั้นแบบนี้ เสพติดสิ่งนั้นสิ่งนี้ …..
ทั้งหมด ถูกโยนให้เป็นความรับผิดชอบของ ‘ผู้ก่อการ’ แล้วปล่อยให้เรื่องซาจบ สงบกวาดใต้พรม ….
แต่เหตุกราดยิง ไม่ใช่ปรากฏการณ์ในเชิงปัจเจกบุคคลแต่เพียงอย่างเดียว มันคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของสถานการณ์ร่วมหลายปัจจัยเข้ามาประกอบกัน และไม่สามารถชี้วัดได้ว่า มันเกิดเพียงเพราะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นสาเหตุที่ผลักดันการกระทำ
อาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ถูกซื้อหามาได้อย่างง่ายดายตามแหล่งขายและดัดแปลงปืนเถื่อน พร้อมทั้งสรรพวุธที่หายไปจากค่ายทหารจำนวนมหาศาลจนมีข่าวมาเป็นพักๆ
ความสองมาตรฐานในการปฏิบัติต่อชนชั้นผู้น้อยภายในองค์กรตำรวจและทหาร ที่ไม่สามารถหาทางออกจากปัญหาชีวิตจากระบบทับถม แต่กลับง่ายดายในการเข้าถึงสรรพวุธยิ่งกว่าใครๆ
ระบบการศึกษาที่แน่นขึง ไร้ประสิทธิภาพ ผลักดันเยาวชนให้แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สร้างความเครียดและกดดันให้อย่างเป็นที่สุด
ภาคส่วนครอบครัวล้มเหลว ถ้าไม่หย่อนยานหละหลวมปล่อยปละละเลย ก็ขมวดตึงจนเยาวชนถูกบีบให้หนีจากโลกแห่งความเป็นจริง จนละทิ้งเส้นแบ่งทางสามัญสำนึก
ปัญหายาเสพติดแพร่หลาย หาซื้อง่าย ที่ถูกใช้เป็นทางออกของปัญหา หรือเครื่องมือเพื่อช่วยให้หลบลืมความชอกช้ำในชีวิตที่เข้ามาเป็นครั้งๆ
ไม่นับสวัสดิภาพของคนปกติธรรมดา ที่ใช้ชีวิตกันค่อนข้างยากอยู่เป็นทุน แต่กลับไม่มีระบบป้องกันภัยในยามเกิดเหตุรองรับ หรือมีการใส่ใจในงานด้านสุขภาวะทางจิต ที่ทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันก่อนเหตุร้ายจะเกิดขึ้น
และเหตุกราดยิง ….. คือผลลัพธ์ จากทุกปัญหาที่ถูกกวาดไว้ใต้พรม หลังเรื่องราวเลวร้ายเกิดขึ้น และผู้มีอำนาจเอ่ยปากว่า ‘ถอดบทเรียน’ เป็นครั้งที่เท่าไร ก็ยากจะนับ
เราคงต้องยอมรับความจริงกันแล้วว่า ประเทศไทย ภายใต้สภาวะง่อนแง่นและเหลื่อมล้ำในทุกภาคส่วน ตั้งอยู่บนความเสี่ยงของการที่จะมีคนหยิบเอาอาวุธปืน และสังหารผู้คนแบบสุ่มเพื่อเป็นทางออกของปัญหา และการแก้ปัญหา ก็ต้องดำเนินการอย่างพินิจพิเคราะห์ และจริงจัง
มันคงแก้ไขไม่ได้ในทันที แต่อย่างน้อย ควรจะต้องเริ่มมองปรากฏการณ์นี้ เป็นมากกว่าเรื่องของ ‘ปัจเจก’ ได้แล้ว
ไม่มีใครอยากให้เหตุกราดยิงเกิดขึ้น มันคือหนึ่งใน Scenario ที่มีการสูญเสียร้ายแรง และทำลายขวัญกำลังใจในการใช้ชีวิตเป็นที่สุด ไม่ว่าจะกับคนที่เสียชีวิต หรือกับผู้ที่รอดชีวิตมาได้
…. เช่นนั้นแล้ว อย่าให้ ‘เหตุกราดยิง’ กลายเป็น ‘วัฒนธรรมประจำชาติ’ ของไทยในเวลาข้างหน้า เหมือนกับที่เราเคยออกปากว่า สิ่งเหล่านี้ คืออัตลักษณ์ของสหรัฐอเมริกา
เพราะเมื่อเทียบประสิทธิภาพทางสังคม ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ และภาคประชาสังคมนั้น เรายังตามหลังเขาอยู่หลายช่วงตัวเลยทีเดียว
#TicyCity #TicyMovement #TicyShooting #Shooting #BreakingNews
Leave feedback about this