ticycity.com Contents Culture God's City ‘จ่าง แซ่ตั้ง’ กับภาพวาดทวารบาลศาลเจ้าสำปาย้า
Culture God's City

‘จ่าง แซ่ตั้ง’ กับภาพวาดทวารบาลศาลเจ้าสำปาย้า

ศิลปินชาวไทยเชื้อสายจีน 

วันนี้  Nai Mu กรูรูสายมูแห่งGod’s City  ผู้มีเรื่องเล่ามากมายจากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City จะพาสายมูและไม่มูทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะสายที่ชื่นชอบงานศิลปะไปพบกับเหล่าเทพเจ้าในศาลเจ้าสำปาย้า ในซอยลับ และซับซ้อน มีเพียงสองเท้ากับรถมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านเข้าออกได้เท่านั้น และที่สำคัญ นอกเหนือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับชุมชนนี้มานับ 100 ปีแล้ว เทพทวารบาล ของประตูไม้ของศาลเจ้าแห่งนี้เป็นฝีมือการวาดของศิลปินชาวไทยเชื้อสายจีน ที่มีผลงานศิลปะและบทกวีที่คนไทยและชาวต่างชาติรู้จักกันดี ‘จ่าง แซ่ตั้ง’ 

โดยประธานของศาลเจ้าสำปาย้า คือ “ซำกัวไต่ตี่” เทพเจ้าสูงสุด 3 พระองค์ ซึ่งตำแหน่งรองจากเง็กเซียนฮ่องเต้ เทพเจ้าทั้ง 3 องค์นี้ เป็นที่เคารพนับถือของฮ่องเต้และพระบรมวงศานุวงศ์ในราชสำนักจีนมาก ซึ่งมีชื่อและหน้าที่ดังนี้  

ซำกัวไต่ตี่ เทพ 3 พระองค์ผู้ดูแล สวรรค์ ผืนดิน และ แผ่นน้ำ

“ทีกัวไต่ตี่” :  ดูแลเหล่าเทพเจ้าและความเรียบร้อยบนสวรรค์ “อำนวยพรในเรื่องการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การค้าขายเจริญรุ่งเรือง”  สวมชุดเหลือง เทวสมภพ 15 ค่ำเดือน 1 ทางจันทรคติจีน ท่านจะลงมาสำรวจผู้กระทำความดี-ชั่วในโลกมนุษย์ และจะบันดาลโชคลาภให้ 

“ตี่กัวไต่ตี่” :  รับหน้าที่บริหาร ดูแลจัดการเทพเจ้าซึ่งประจำผืนดินทั้งหมด  “ทำหน้าที่ ขจัดปัดเป่าเคราะห์ โชคร้าย ความยุ่งยากและมืดมนในชีวิต”  สวมชุดแดง เทวสมภพ 15 ค่ำ เดือน 7 ทางจันทรคติจีน ท่านจะสำรวจดี -ชั่ว และบันดาลโชค

“จุ้ยกัวไต่ตี่” :  เป็นผู้บริหารจัดการเรื่องผืนน้ำและลม รวมถึงชีวิตหลังความตาย “ทำหน้าที่ปัดเป่าภูติผีวิญญาณ โรคระบาด พลังงานลบและด้านมืด”  สวมชุดเขียว เทวสมภพ 15 ค่ำ เดือน 10 ทางจันทรคติจีน

นอกจากนี้ ยังร่วมด้วยเหล่าเทพเจ้าอื่นๆ อาทิ

เหล่าปึงเถ้ากง : เป็นเทพเจ้าประจำชุมชน  แทบทุกศาลเจ้าทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดจะมีเทพองค์นี้ บางแห่งจะตั้งคู่กับ “ปึงเถ้าม่า” ฝ่ายสตรี “อำนวยพรให้ผู้ที่ทำมาค้าขายชุมชนและใกล้เคียง เจริญรุ่งเรือง คุ้มครองให้ชีวิตครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข” 

โหงวเอี้ยงไต่ตี่ : เป็นเทวดาธาตุไฟ มีรูปลักษณ์คล้ายกับเทพ 3 ตา “เอ้อหลาง” เช่นการมีดวงตาที่สาม ใช้ทวนสามแฉกเป็นอาวุธเหมือนกัน  แต่เอ้อหลางจะมีสัตว์พาหนะ “เห่าฟ้า” สุนัขสีดำอยู่ข้างกาย โหงวเอี้ยงไต่ตี่ชอบเล่นไฟมาก  ครั้งหนึ่งเคยเล่นไฟจนไหม้ตำหนักเง็กเซียนฮ่องเต้จนวอด เง็กเซียนจึงลงโทษให้มาดูแลเรื่องไฟในโลกมนุษย์ ระหว่างวันที่ 1-8 เดือน 9 ทางจันทรคติจีน ซึ่งเป็นช่วงฤดูแล้ง วีรกรรมที่ได้รับการยกย่องคือ ปราบปีศาจอีกา 500 ตัว, ปราบมังกรมหาสมุทรตะวันออก, ช่วยมารดาในนรก คุณงามความดีดังกล่าว ทำให้เง็กเซียนฮ่องเต้ แต่งตั้งเป็น 1 ใน 36 ขุนพลสวรรค์ 

ไต้ซือเอี้ย (ท้าวอมฤตราช) : ผู้ควบคุมวิญญาณในเทศกาลทิ้งหรือเทกระจาด บางตำนานเชื่อว่า เป็นนิรมาณของพระโพธิสัตว์กวนอิม

หน่ำไห้กวงซีอิม : เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ผินพระพักตร์ไปทางทิศใต้ มีความเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองชาวประมงและคนเดินเรือ

รวมถึงเจ้าพ่อเสือ และเทพเจ้าโชคลาภทั้ง 2  และเหล่าเทพเจ้ามหาสิริวาสนาทั้ง 5

จากเหล่าเทพเจ้า จนมาถึงกำแพงทางด้านขวา มีกรอบรูปลายเส้นของ “จ่าง แซ่ตั้ง” ศิลปินผู้วาดภาพเทพทวารบาล ผู้รักษาประตู เข้า-ออกของศาลเจ้าแห่งนี้ 

ทวารบาลฝีมือการวาดของ “จ่าง แซ่ตั้ง” เมื่อนานมา
บูรณะซ่อมแซมให้สมบูรณ์มาหลายครั้ง
จ่าง แซ่ตั้ง กับ อาจารย์แดง กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน

ใครที่อยู่ในแวดวงศิลปะ ย่อมรู้จักชื่อเสียงของ “จ่าง แซ่ตั้ง” ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วง 1 พฤษภาคม 2477- 26 สิงหาคม 2533 เป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นทั้งศิลปิน , จิตรกร และกวี  ซึ่งผลงานของเขาไม่ได้รู้จักแค่คนไทยในแวดวงศิลปะและวรรณกรรมเท่านั้น  หากแต่ยังมีชื่อเสียงแพร่หลายในต่างประเทศด้วย  

พ่อของ จ่าง แซ่ตั้ง มาจากเมืองจีน ส่วนแม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เกิดที่ตลาดสมเด็จ คลองสาน ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ครอบครัวมีฐานะยากจน เรียนหนังสือที่วัดพิชัยญาติ จนหลังสงครามก็ไม่ได้เรียนต่อ แต่เขาชอบการวาดภาพเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะการใช้นิ้วมือแทนพู่กัน ! 

จ่าง แซ่ตั้ง ถือว่าเป็นคนแรกในประเทศไทย ที่ได้สร้างงานศิลปะประเภทนามธรรมและมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะไทยเป็นอันมาก , การเขียนบทกวีที่ใช้คำซ้ำๆ ก็เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของท่าน

ในปี พ.ศ. 2510 มีการแปลผลงานกวีของจ่าง แซ่ตั้ง เป็นภาษาอังกฤษ และได้รับเชิญไปร่วมงานประชุมกวีโลกที่กรุงเคนเบอร์รา ออสเตรเลีย , ในปี พ.ศ. 2514  นิตยสาร “ลุคอิส” ได้มาทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิต การทำงานและความเป็นอยู่ของท่าน รวมทั้งนำภาพสี พิมพ์เป็นปกเพื่อจำหน่ายขายทั่วโลก , 

ผลงานของท่านในด้านศิลปะ – วรรณกรรม เคยจัดแสดงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีผลงานจัดเก็บสาธารณะที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา , ประเทศฝรั่งเศส และประเทศสิงคโปร์ , ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคล  “จ่าง แซ่ตั้ง”  ดูแลโดยคุณทิพย์ แซ่ตั้ง ผู้เป็นบุตรชายของท่าน

ในวิกิพีเดีย ระบุว่า เคยวาดภาพพระโพธิสัตว์กวนอิมขนาดใหญ่ ที่มูลนิธิ โรงพยาบาลเทียน… (เข้าใจว่า ข้อความอาจจะขาดหาย !) แต่สำหรับภาพวาดเทพทวารบาลในศาลเจ้าสำปาย้า ก็ไม่สามารถสืบค้นให้ชัดเจนว่า ท่านได้วาดภาพในบานประตูนี้เมื่อไร ! 

“เทพจงขุ่ย” ปราบปีศาจ อสูร ผีร้าย

เรื่อง “เทพทวารบาล” ของคนจีน จะประกอบด้วยฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น(ภาคนักรบโบราณ และภาคนักปราชญ์) ทั้งสองมีหน้าที่ปกป้องสิ่งชั้วร้าย ตลอดจนภูตผีวิญญาณไม่ให้เข้าสู่ร้านรวง บ้านเรือน หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยทั่วไปแล้วจะเป็นภาพวาดของ “เสินถูและอวี้เหล่ย” ซึ่งเป็นเทพโบราณเฝ้าสวนสวรรค์ หรือบางแห่งเป็นภาพของ “ฉินกงและเว่ยฉือกง” ขุนศึกในราชวงศ์ถัง ซึ่งถังไท้จงฮ่องเต้ให้วาดภาพเพื่อเฝ้าประตูวัง แต่บางแห่ง เทพทวารบาลฝ่ายบู๊ จะเป็น เทพจงขุ่ย! เช่นเดียวกับที่ศาลเจ้าสำปาย้า 

เทพเจ้ากึ่งปีศาจชื่อ “จงขุ่ย” ผู้นี้เลื่องชื่อในการปราบปีศาจ ว่ากันว่าแค่ภาพวาดก็ดุดัน เฮี้ยน แบบไม่ต้องปลุกเสก และไม่มีภูติผีตนใดกล้าเข้าใกล้ คนจีนเชื่อกันว่า ภาพวาดของจงขุ่ยไม่นิยมไว้ในห้องนอนของเด็ก เพราะเด็กอาจตกใจ เสียขวัญได้ 

จงขุ่ย เป็นเทพอสูรในลัทธิเต๋าและตำนานพื้นบ้าน  มีคุณสมบัติในการปราบปีศาจ และวิญญาณร้ายต่างๆ มีใบหน้าดุดัน ดวงตาปูดโปน  และเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง  ครั้นสมัยเป็นมนุษย์ นายจงขุ่ยผู้นี้ได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อสอบจอหงวนในสมัยราชวงศ์ถัง ของจักรพรรดิถังเกาจง แม้จงขุ่ยจะสอบไล่ได้ แต่ด้วยหน้าตาซึ่งหนักไปทางอัปลักษณ์ น่าเกลียด น่ากลัวกว่าชาวบ้านคนอื่นๆ  จึงไม่ได้รับการแต่งตั้ง ความโกรธ ความน้อยอกน้อยใจที่ชะตาชีวิตไม่ได้รับความยุติธรรม จึงตัดสินใจเอาหน้าผากชนเสาบันไดพระราชวังจนสิ้นชีวิต … 

วิญญาณจงขุ่ยยังอาลัย มีปณิธานแน่วแน่อยากจะรับใช้บ้านเมือง จึงไม่ไปไหน เดิน-นั่งอยู่ในพระราชวังนี่เอง จนวันเวลาผ่านไป เข้าสู่รัชสมัยของจักรพรรดิถังเสวียนจงฮ่องเต้ (สวามี พระสนมหยางกุ้ยเฟย)  คราวหนึ่งหลังเสด็จประพาสในป่าแล้ว ก็มีอาการลมเพลมพัด สามวันดี สี่วันไข้ เจ็บป่วยตลอดเวลา คืนหนึ่งก็ฝันเห็นปีศาจมาขโมยถุงเงินของพระสนมหยางกุ้ยเฟย และขโมยขลุ่ยหยกของพระองค์ ทั้งยังคิดจ้องทำร้ายพระองค์อีก จักรพรรดิถังเสวียนจงฮ่องเต้จึงตะโกนร้องด้วยความหวาดกลัว ก็ปรากฏปีศาจอีกตนหนึ่งเข้ามาขัดขวาง ปีศาจตนนั้นมีรูปร่างใหญ่โต สีหน้าดุดัน ดวงตาปูดโปน สวมหมวกขุนนาง เข้าโจมตีปีศาจตนนั้น ควักลูกตามากินเสีย ! แล้วเข้าถวายบังคมต่อองค์จักรพรรดิ เล่าว่า ตนชื่อ จงขุ่ย เสียชีวิตในรัชสมัยใด ด้วยเหตุใด และมาเพื่อคุ้มกันเจ้าเหนือหัว ! 

ในฝันจักรพรรดิถังเสวียนจงฮ่องเต้ยินดีมาก  หลังตื่นจากบรรทม … สุขภาพ อาการป่วยไข้ก็ดีขึ้นอย่างประหลาด จึงบัญชาให้ นำชุดขุนนาง และแต่งตั้งให้ ”จงขุ่ย” เป็นเสนาบดีฝ่ายบุ๋นเป็นกรณีพิเศษ และจัดพิธีศพให้อย่างสมเกียรติอีกต่างหาก  ทำให้ดวงวิญญาณจงขุ่ยซาบซึ้งในน้ำพระทัย และตั้งใจว่าจะคอยพิทักษ์อารักขาฮ่องเต้และแผ่นดินสืบไป 

นอกจากนี้จักรพรรดิถังเสวียนจงฮ่องเต้ ยังมีบัญชาบอกเล่าให้จิตรกรเอกนาม “อู๋เต้าจื่อ” วาดภาพเทพจงขุ่ย ที่พระองค์เห็นจากนิมิต และนำภาพนั้นแจกจ่ายแก่ประชาชน เพื่อเป็นเครื่องป้องกันภูติผีปีศาจ สิ่งอัปมงคลทั้งปวง และในฐานะของเทพปีศาจ “จงขุ่ย” สวรรค์ได้มอบทหาร 3 พันนายให้เป็นบริวารคอยช่วยเหลือกิจทั้งหลาย 

สำหรับผู้ที่จะเข้าไปชมหรือสักการะเทพเจ้าในศาลเจ้าสำปาย้าแห่งนี้ ต้องอาศัยพี่วินมอเตอร์ไซค์ จากปากซอย กรุงธนบุรี 4 บอกและย้ำว่า “ศาลเจ้าสำปาย้า” รับรองไม่หลงแน่ ! สังเกตเส้นทางไว้ด้วยเพราะตอนกลับ อาจจะต้องเดินนะจ๊ะ ! … แต่ไม่ได้ไกล แค่ซับซ้อนหน่อย รับรองจำได้แน่นอน ! 

เรื่อง : Nai Mu

Exit mobile version