มา…เข้ามา..มาตาม Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายใน God’s City จากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City ที่จะพาไปทำความรู้จักกับ “ความหลากหลายทางเพศ” ของเหล่าเทพฮินดู เพื่อเป็นการร่วมฉลองPride Month 2025 กัน จะได้ไม่ตกเทรนด์
Pride Month 2025
แม้ว่า “เจ้าแม่พหุชระ” ที่ Nai Mu ได้กล่าวถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะเป็นองค์อุปถัมภ์ของชาวฮิจรา และชาว LGBTQIAN+ โดยตรง แต่ก็ยังมีเกร็ดการแปลงกายเฉพาะกิจของทวยเทพองค์อื่นๆ ในรูปสตรี !
ความหลากหลายทางเพศมีแทรกอยู่ในเรื่องราวโบราณ และไม่ได้เป็นเรื่องน่ารังเกียจหรือผิดบาปแต่อย่างไร ?
แต่นั่น ไม่ได้หมายความว่า “กายเป็นชาย ใจเป็นหญิง ชอบเขียนคิ้ว ทาปาก แต่งตัวเป็นหญิง” จะได้รับการยอมรับเต็มร้อยเปอร์เซนต์ คนกลุ่มนี้ยังถูกกีดกันออกจากสังคมอินเดีย
ฮิจรา (ฮิชระ) คือ เพศที่สาม หรือ “กะเทย” ซึ่งส่วนใหญ่จะออกจากบ้านเพราะทางบ้านไม่ยอมรับตัวตนของพวกเขาจึงมารวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ และเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอดในสังคม ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนก็ตาม

แต่ปัจจุบัน ฮิจราอินเดียที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักของผู้คนและสังคมก็มีให้เห็น เช่น
Joyita Mondal (จอยดา มอนดัล) ผู้พิพากษาเพศที่สามชาวเบงกาลีคนแรกของอินเดีย
K. Prithika Yashini (ปริธิกา ยาชินี) สารวัตรหญิงข้ามเพศคนแรกของอินเดีย ในรัฐทมิฬนาฑู
Natasha Biswas ผู้ชนะการประกวดนางงามเพศที่สามคนแรกของอินเดีย
Laxmi Narayan Tripathi นักรณรงค์ LGBT ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจของอินเดียในการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลข้ามเพศอย่างถูกกฎหมายในปี 2014
และยังมี Kochi Metro Rail Ltd. บริษัทของรัฐบาลแห่งแรกของอินเดียที่ให้การจ้างชาวฮิจราทำงานเป็นจำนวนมาก
พระราม ผู้ฉายแสงให้ฮิจรามีตัวตน
ในมหากาพย์รามายณะ แม่ของพระพรต คือ นางไกยเกษี ถูกนางค่อมกุจจี ยุยงให้ทูลต่อท้าวทศรถให้รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับนางไกยเกษีในอดีตว่า ขอสิ่งใดจะให้ ! นางไกยเกษีจึงขอให้พระพรต ลูกชายของนางขึ้นครองราชย์ แทนที่จะเป็นพระราม ดังนั้น เพื่อให้คำพ่อศักดิ์สิทธิ์ พระรามจึงพร้อมปฏิบัติตาม องค์ราม – ลักษมัน และสีดา ต้องไปบำเพ็ญพรตในป่าถึง 14 ปี … พระพรต ว่าราชการโดยมี “ฉลองพระบาท” ของพระราม วางเหนือราชบัลลังก์ เป็นตัวแทนของ “พระราม” ในการบริหารแผ่นดิน เพื่อรอวันที่พี่ชายกลับมา
พสกนิกรทุกเพศวัย ต่างอาลัยในตัวพระราม จึงพร้อมใจกันออกเดินทางมาส่งเสด็จ … เมื่อพ้นประตูเมืองมาได้ระยะหนึ่ง องค์รามได้กล่าวคำขอบคุณต่อชาวบ้านทั้งหลาย
“เราขอขอบใจพวกท่านทั้งหลาย ที่สละเวลาทำมาหากินมาส่งเรา ขอให้เหล่าชาย-หญิง กลับเข้าเมืองเพื่อหาเลี้ยงชีพตามปกติเถิด เห็นพระพรตเสมือนเห็นเรา จงรัก ภักดีและเชื่อมั่นในพระองค์เถิด 14 ปีหลังจากนี้ เราจะพบกันอีกครั้ง”
ผ่านเวลา 14 ปี เมื่อองค์รามชนะศึกทศกัณฑ์ และกลับเมือง บริเวณนอกเมืองอโยธยา ณ จุดเดิม เกิดหมู่บ้าน เป็นชุมชนเล็กๆ ของกลุ่มฮิจราที่รอคอยการกลับมาของพระราม เพราะยึดมั่นในคำตรัสสุดท้าย ด้วยตระหนักว่า พวกเธอ “ไม่ใช่ชายและหญิง” จึงไม่กลับเข้าเมืองเหมือนเพศชาย- หญิง พระรามกล่าวยกย่องความซื่อสัตย์ ภักดี ทรงประทานพรว่า
“นับจากนี้ ให้เหล่าฮิจรามีวาจาสิทธิ์ และคำพูดนั้นจะเป็นจริงเสมอ ทั้งการให้พรและสาปแช่ง” !
“แสงแรก” ที่สาดเข้ามาในกลุ่มฮิจระ ทำให้เธอเหล่านั้นเริ่มมีตัวตนและศักดิ์ศรี กลุ่มฮิจระใช้ความชำนาญร้องรำทำเพลงในงานต่างๆ , บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ก็จะไปให้พร บางครอบครัวยินดี แต่บางครอบครัวถือว่าไม่ได้เชื้อเชิญ เหมือนเข้าไปขอเงินดื้อๆ ถูกหาว่าเป็นขู่กรรโชกทรัพย์ , บางครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินมากพอ ก็อาจจะให้เป็นอย่างอื่นแทน เช่น ข้าวสาร, เครื่องเทศ, ผัก, ผลไม้ พวกเธอนำสิ่งที่ได้เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือข้าวของไปประทังชีพเลี้ยงดูตนเองตามอัตภาพ แม้คนส่วนใหญ่อาจจะเชื่อว่า คำพรเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ย้อนแย้ง กลัวคำสาปแช่งด่าทอของชาวฮิจราจะเป็นจริงมาก !
“ศิวะ-นารายณ์” สัมพันธ์สวาทจนติดลูก!
คราวกวนเกษียรสมุทร พระวิษณุที่นั่งเป็นประธานอยู่ได้อวตารเป็นสาวสวยมากจริตชื่อ “โมหินี” เพื่อเข้าไปแบ่งน้ำอมฤต ให้ฝ่ายเทวดา และยั่วยวนให้ฝ่ายอสูรหลงกล เคลิบเคลิ้มไปกับความสวยของนาง แต่คนที่ตะลึง ไม่ใช่มีแค่อสูรเท่านั้น แต่ยังมีพระศิวะอีกคน ที่หลงในความสวยของนางโมหินีขนาดไม่ยอมทำการบ้านกับพระอุมา … เหตุที่ พระศิวะกับพระวิษณุต้องสมรสสมรักจนติดลูก เพราะมีเหตุ มาตั้งแต่สมัยนางทุรคาสังหารมหิงสาสูร น้องสาวชื่อ มหิงสี ขอพรจากพระพรหมว่า ให้ตายด้วยลูกของพระศิวะและพระวิษณุ เพราะนางคิดว่า เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่ผู้ชาย 2 คนจะมากินกันเอง มดลูกก็ไม่มี จะติดลูกได้ยังไง
เหตุนี้ พระวิษณุ จึงต้องอวตารเป็นนางโมหินีอีกครั้ง เพื่อแก้กำหนัดให้มหาเทพ ! ให้น้ำเชื้อแล่นทะลุทะลวงเป้าหมายจนติดลูกชายสมใจ ซึ่งเป็นเทพท้องถิ่นพระองค์หนึ่ง ชื่อ “อัยยัปปัน” หลังสังหารอสูรมหิงสี เสร็จกิจก็ถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต การปรองดองของเทพคู่ “พระวิษณุ-พระศิวะ” นี้ เรียกว่า พระหริหระ !
‘พฤหันนลา’ รูปสตรีของอรชุน !
มหากาพย์ “มหาภารตะ” เหล่าพี่น้องปาณฑพทั้ง 5 ท้าวปาณฑุ เจอคำสาปของฤาษีให้เป็นหมัน และเมื่อใดที่เกิดอารมณ์กับเมียก็จะตุยเย่ในทันที นางกุนตี เมียเอกรู้มนต์ขอลูกกับเทวดา ขอเทวดา 3 พระองค์ ได้ลูก 3 คนคือ ยุธิษฐิระ, ภีมะ, อรชุน ส่วนเมียรองคือ นางมาทรี ได้ลูกแฝดชื่อ นกุล และสหเทพ
“อรชุน” เกิดจากการประสาทพรของพระอินทร์ !
เมื่อพี่น้องปาณฑพทั้ง 5 ต้องเดินป่าเป็นเวลา 14 ปี ในปีที่ 13 ลูกสาวที่เป็นลูกของพระอินทร์ชื่อ อุรวศี แรกพบสบพักตร์กับอรชุนก็ให้หวั่นไหว ร้อนรุ่ม จนต้องมาโฉบอรชุนไปสวรรค์ แถมลอบเข้าห้องตอนผู้ชายหลับ หมายจะรวบหัวรวบหาง กินกลางตลอดตัว นางอุรวศีถูกอรชุนปฏิเสธ จึงโมโหเลยสาปให้อรชุนมี “กี” ตลอดชีวิตซะเลย งานนี้ พ่อตัวจริง พระอินทร์จึงต้องมาแสดงตัว ว่า อรชุนเป็นลูกของพ่อและพี่ชายของเจ้า ! พี่น้องสายเลือดเดียวกันจะมาทำแบบนี้ไม่ได้ นางอุรวศีกล่าวสาปแล้วแก้ไม่ได้ แต่จะลดโทษเหลือ 1 ปี
ในปีที่ 14 พี่น้องทั้ง 5 ต้องแปลงเป็นคนอื่นที่ไม่มีผู้ใดจำได้ ! ฝ่ายอรชุน จึงเป็นฮิจรา ชื่อ “นางพฤหันนลา” ทำหน้าที่ครูสอนดนตรีและการเต้นรำ ให้กับนางอุตตรา ลูกสาวของท้าววิราฎ
“อรรธนารีศวร” ครึ่งหญิง-ครึ่งชาย
อรรธนารีศวร รูปกายแบ่งครึ่งของพระศิวะและนางปารวตี ขวา- บุรุษ , ซ้าย-สตรี รูปกายนี้เพื่อยืนยันว่า ชายและหญิงเป็นหนึ่งเดียวกัน ในชายมีหญิง ในหญิงมีชาย ต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน รูปนี้ปรากฏครั้งแรกในยุคสร้างโลก เมื่อพระพรหมสร้างแต่มนุษย์ผู้ชาย ไม่มีกำลังในขยายเพิ่มประชากรได้ อับจนหนทางจึงบำเพ็ญตบะขอพรจากพระศิวะให้ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว พระเป็นเจ้าแสดงรูปกายนี้ พระพรหมจึงเข้าใจ และสร้างรูปสตรี ให้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ขยายจำนวนประชากรในโลก ครึ่งศิวะ-อุมา เรียก “พระอรรธนารีศวร” ,ภายหลังมีเกิดครึ่งวิษณุ –ลักษมี เรียก “พระไวกูณฐกมลาจ”
“วินายกีเทวี” คเณศปางสตรี !
พระคเณศ ลูกของมหาเทพศิวะและเทวีปารวตี ก็มีรูปสตรี เอวเล็ก หน้าอกใหญ่ มีพระพักตร์เป็นช้าง เรียก พระวินายกี , วิฆเณศวรี, คเณศวรี โดยปางนี้ได้พลังจากพระแม่ตรีศักติ (พระอุมา, พระลักษมี, พระสรัสวดี) แบ่งกำลังและประทานพรให้เกิดในรูปนี้
เป็นอันว่าNai Mu ขอจบเรื่อลเล่า “เทพหลากหลาย” จากตำนานอินเดียแต่เพียงนี้
เรื่อง : Nai Mu