มหาเทพศาสนาอินดู
นับเป็นการเริ่มต้นเดือนมีนาคมด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจสำหรับสายมูและไม่มูอย่างมาก เพราะครั้งนี้ Nai Mu กรูรูสายมูผู้มีเรื่องเล่ามากมายใน God’s City จากเว็บต์ไซต์และเพจ Ticy City จะพาไปทำความรู้จักกับพระชายาของพระพรหม ซึ่งก็คือ “พระสุรัสวดีหรือสรัสวดี” เทวีแห่งความรู้ ซึ่งมีพระนามปรากฎอยู่ในศาสนาพุทธด้วย แต่ต่างพระนาม ต่างพื้นที่!
ในบรรดาพระชายาของมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ อันได้แก่ พระนางปารววตี (Goddess Parwati) พระชายาแห่งองค์พระศิวะ, พระนางลักษมี (Goddess Laksmi) ชายาของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ พราะนางจะมีคนรู้จักและได้รับการบูชามากกว่า “พระสุรัสวดี-สรัสวดี” (Goddess Saraswati) เทวีแห่งความรู้ ผู้เป็นชายาของพระพรหม (Lord Brahma ) เทพผู้สร้างของศาสนาฮินดู

ทั้งนี้พระสุรัสวดีหรือสรัสวดี นั้นยังมีนามอื่นๆ เช่น สวารี , ภารตี , วาจ, สารดา, พราหมณี , พราหมี , มหาวิทยา , ภารดี , มหาวิทยา , อารยา , มหาวานี ฯลฯ
บุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของพระนางนั้นคือ สุขุม เยือกเย็น ชาญฉลาด แต่เดิมนั้นพระนางเป็นบุคลาธิษฐาน ของ “แม่น้ำสรัสวดี” (sarasvati naditama) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเก่าแก่ที่ไหลผ่านที่อยู่อาศัยของชาวอารยันในยุคแรกๆ แม้ปัจจุบัน แม่น้ำสายนี้จะเหือดแห้งไปแล้วก็ตาม ในสถานะของตรีศักติ (Tri shakti) พระนางคือ มารดาพระเวท เวทมนต์คาถา พิธีกรรม การบัดพลีบูชา
นอกจากนี้พระนางสรัสวดียังได้รับการยอมรับให้เป็น เทพีแห่งการพูดอีกด้วย วิชาการทางโลก พระนางคือ เทพอุปถัมภ์ด้านความรู้, ศิลปะ, ดนตรี , วิทยาศาสตร์ ,ปัญญา และการเรียนรู้ เชื่อว่า ท่านคือ ผู้ประดิษฐ์อักษรเทวนาครีที่ใช้ในการเขียนภาษาสันสกฤตในเวลาต่อมา โดยภายในโรงเรียนของประเทศอินเดียนิยมตั้งรูปเคารพของพระนางไว้บูชา
สำหรับในเมืองไทยนั้นจะเห็นได้จากโรงเรียนภารตวิทยาลัย (Bharat Vidyalaya School) เสาชิงช้า ซึ่งได้ตั้งรูปของท่านไว้บูชา ทางด้านขวา เมื่อก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียน
พุทธไทยเรียก “พระสุนทรีวาณี” (Sunthareevani)
นางฟ้าพระองค์หนึ่งมีต้นกำเนิดจากวัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรวิหาร ถือกำเนิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 พระนามของพระนางคือ “พระสุนทรีวาณี” พระคาถาปรากฎในคัมภีร์สัททาวิเสส มี 32 คำคือ
“มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปีณะยะตัง มะนังฯ”
นางฟ้า คือพระไตรปิฎกอันเกิดจากดอกอุบล คือพระโอษฐ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งพำนักของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงยังใจของข้าพเจ้าให้เอิบอิ่มปรีดาปราโมทย์ รู้แจ่มแจ้งแทงตลอดจำได้ ปฏิบัติตามได้ ในพระไตรปิฏกทั้งโลกียะและโลกุตตระนั้นเทอญ !
“พระสุนทรีวาณี” มีที่มาอย่างไร ?
ในสมัยรัชกาลที่ 4 สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวทุฒนมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม (รูปที่ 3) ท่านได้เจริญภาวนาพระคาถานี้เป็นประจำ จนเกิดภาพนิมิต และได้ให้หมื่นสิริธัชสังกาศ (เจ้ากรมแดง) เขียนรูปจากคำบอกเล่าเป็นครั้งแรก …
ภาพวาดเทพธิดานั้นเป็นศิลปะแบบไทยตามคติพุทธศาสนา พระวรกายขาวบริสุทธิ์ ทรงพัสตาภรณ์อันวิจิตร ศิราภรณ์เป็นชฎา ประดับกรองศอ พาหุรัด และทองกร ประทับนั่งบนดอกบัวกลางสระ สื่อถึงพระธรรม คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่งดงาม เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย พระหัตถ์ขวายกมือขึ้นแสดงอาการกวัก สื่อเชิญชวนให้มาศึกษาปฏิบัติ พระหัตถ์ซ้ายทรงแก้ววิเชียร (เพชร) สื่อถึงพระนิพพาน เทพนารีพระองค์นี้ มีชื่อว่า “พระสุนทรีวาณี”
สมเด็จพระวันรัต ทรงนำภาพไปเข้ากรอบ และตั้งบูชาในกุฏิ เหนือหัวนอนของท่าน
ปัจจุบันได้สร้างปูชนียวัตถุ แบบ “ลอยองค์” ประดิษฐานอยู่ทางด้านขวามือของพระพุทธศากยมุนีในวิหารหลวง ออกแบบโดย อาจารย์ปัญญา วิจินธนสาร ศิลปินแห่งชาติ สาขา ทัศนศิลป์ จิตรกรรม
นอกเหนือจากการทำหน้าที่คุ้มครองดูแลพระธรรมและพระไตรปิฎกในนาม “พระสุนทรีวาณี”แล้ว ยังมีความเชื่อทางพุทธศาสนาของนิกายอื่นด้วย ดังเช่น นิกายวัชรยาน (Vajrayana) ซึ่งเคารพพระโพธิสัตว์แห่งปัญญาและความชาญฉลาด นามว่า “พระมัญชุศรีโพธิสัตว์” (Bodhisattva Manjusri ) พระองค์ปรากฏพระนามในคัมภีร์ฝ่ายมหายานและวัชรยาน บุคลาธิษฐานของท่านเป็นชายหนุ่มวัย 16 ปีตลอดเวลา แม้ว่าพระมัญชุศรีฯ จะผ่านกาลของพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ ประทับบนดอกบัว มือขวาถือพระขรรค์ตัดอวิชา มือซ้ายถือดอกบัว หรือคัมภีร์ ถือกันว่า พระชายาของท่านคือ พระสรัสวดี !
ญี่ปุ่น เรียก “เบนไซเตน” (Benzaiten)
ชาวอาทิตย์อุทัย เรียกเทพีพระองค์หนึ่งว่า “เบนไซเตน” หรือเรียกสั้นๆว่า “เบ็นเท็น” เป็นเทพนารีเพียงพระองค์เดียวในกลุ่ม 7 เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (เอบิสี , ไดโกกุ, บิชามง, เบนไซเตน, ฟุกุโรกุจุ,โฮเตย์, จุโรจิง) นางคือ เทพีพระองค์หนึ่งของพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่น สวมชุดกรุยกรายอย่างนางฟ้า ถือ “บิวะ” (Biwa) ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของญี่ปุ่น (ฮินดู ถือ วีณา Vina) นางคือเทพอุปถัมภ์งานศิลปะ , อักษรศาสตร์ นาฎกรรม การดนตรี และสัญลักษณ์ของภูมิปัญญาอันลึกล้ำ
“อุ่งสุระสะตี่ จะเมมาตา มาตาจะเม สุระสะตี่ อะนุกัมปัง อุปาทายะ สิทธิเทตุ สุระสะตี่”
พม่าและไทยใหญ่ ยังเชื่อกันว่า พระนางสุระสะตี่มีทั้งหมด 12 ปาง และแต่ละบ้านมักจะมีรูปท่านไว้บูชา เพราะพระนางคือ ผู้เรียกโชคลาภ
จะเห็นว่า เทวีผู้นี้มีบทบาทสำคัญมากในฐานะผู้คุ้มครองดูแลพระธรรมในศาสนาพุทธ ทั้งยังมีคุณสมบัติรอบด้าน สุดแต่ใครอยากจะร้องขอในเรื่องอะไร การเรียน, เมตตามหานิยม, โชคลาภ
แล้วคุณล่ะ ! อยากจะได้ในสิ่งใด จากพระนางสรัสวดี !
เรื่อง : Nai Mu